วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อย่าพลาด! ชม บลูมูน ดวงจันทร์เต็มดวง 31 ส.ค.นี้




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ชวนชม ปรากฏการณ์ดวงจันทร์เต็มดวง "บลูมูน" 31 ส.ค.นี้ เผย 2.72 ปีมี 1 ครั้ง เวลาประมาณ 18.18 น. 

           ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เปิดเผยว่า ในวันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2555 จะเกิดปรากฏการณ์ "บลูมูล" (Blue Moon) หรือ ดวงจันทร์จะเต็มดวงรอบที่สองในเดือนเดียวกัน ซึ่งปกติแล้วปรากฏการณ์ดวงจันทร์เต็มดวง จะเรียกว่า ฟลูมูน (Full Moon) เกิดขึ้นเพียงเดือนละ 1 ครั้งเท่านั้น แต่หากเดือนไหนที่มีดวงจันทร์เต็มดวง 2 ครั้ง จะเรียกครั้งที่สองว่า "บลูมูน" ซึ่งในภาษาอังกฤษมีสำนวนว่า "Once in a blue moon" หมายถึง นาน ๆ จะเห็นสักครั้ง หรือเปรียบได้กับคำว่า "Rarely" ในภาษาอังกฤษ 
           

           ทั้งนี้ ปรากฏการณ์บลูมูน ในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ เราจะได้เห็นดวงจันทร์เต็มดวงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ในเวลาประมาณ 18.18 น. โดยจะเต็มดวงอย่างสมบูรณ์ เวลาประมาณ 20.57 น. และตกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ในเช้าของวันที่ 1 กันยายน 2555 เวลาประมาณ 05.37 น.  

           สำหรับปรากฏการณ์บลูมูน เกิดขึ้นเนื่องจากใน 1 ปี มี 12 เดือน บางเดือนมี 30 วัน บางเดือนมี 31 วัน แต่ว่ารอบของดวงจันทร์มีเพียง 29.53059 วันต่อเดือน และใน 1 ศตวรรษ จะมีทั้งหมด 1,200 เดือน โดยจะเกิดดวงจันทร์เต็มดวงได้ถึง 1236.83 ครั้ง แต่จะเป็นบลูมูนแค่ 36.83 ครั้ง เฉลี่ยแล้วประมาณ 2.72 ปีต่อครั้ง หรือประมาณ 3% ของฟูลมูน จะเป็นบลูมูน แต่ที่พิเศษกว่านั้น คือ จะมีการเกิดบลูมูน ปีละ 2 ครั้ง ในทุก ๆ 19 ปี ซึ่งปีล่าสุดที่เกิดบลูมูน 2 ครั้งซ้อนในหนึ่งปี (Double Blue Moons) ก็คือปี พ.ศ. 2542 และจะเกิดครั้งต่อไปในปี พ.ศ. 2561

สิงคโปร์ ประเทศที่คนอ่านหนังสือปีละ 40-50 เล่มต่อคน



สิงคโปร์ ประเทศเพื่อนบ้านและหนึ่งในสมาชิกประชาคมอาเซียนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่มีสถิติการอ่านค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับไทย โดยมีสถิติการอ่านหนังสือปีละ 40-50 เล่มต่อคน ขณะที่คนไทยยังให้ความสำคัญกับการอ่านน้อยมาก
นอกจากนี้ ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติมากนักเหมือนประเทศอื่น แต่กลับมีฐานะทางเศรษฐกิจดีและประเทศพัฒนาอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญคือ ความมีระเบียบวินัยของคนในประเทศ ซึ่งเป็นผลจากนโยบายหนึ่งในการพัฒนาประชาชนให้มีคุณภาพและพัฒนาสังคมให้น่าอยู่ คือ "นโยบายส่งเสริมการอ่าน"
นางเกียง-โก๊ะไลลิน ผู้อำนวยการโครงการริเริ่มด้านการอ่าน คณะกรรมการห้องสมุดแห่งชาติสิงคโปร์ (Singapore National Library Board) คือ ผู้หนึ่งที่มีส่วนผลักดันและสนับสนุนนโยบายส่งเสริมการอ่านของสิงคโปร์ และในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการทำงานส่งเสริมการอ่านมายาวนานกว่า 35 ปี เธอยังได้นำประสบการณ์มาผลักดันให้เกิดโครงการใหม่ๆ เพื่อปลูกฝังและส่งเสริมนิสัยรักการอ่านให้กับประชาชนในสิงคโปร์มากมาย อีกทั้งส่งเสริมให้มีการอ่านหนังสือทั้ง 4 ภาษา ได้แก่ จีน , อังกฤษ , มาเลเซีย และทมิฬ ซึ่งไม่เพียงแต่เชิญชวนให้คนสิงคโปร์อ่านหนังสือแล้ว ยังส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และมีการแบ่งปันประสบการณ์การอ่านอีกด้วย
นาง เกียง-โก๊ะ ไล ลิน กล่าวว่า รัฐบาลของประเทศสิงคโปร์ ให้ความสำคัญในเรื่องการส่งเสริมการอ่าน โดยมีคณะกรรมการหอสมุดแห่งชาติสิงคโปร์เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำนโยบายส่งเสริมการอ่าน ซึ่งนอกจากห้องสมุด เทคโนโลยีสารสนเทศ และการบริการที่สะดวกแล้ว ต้องไม่ลืมว่าหัวใจหลัก คือ "การสอนให้ประชาชนรักการอ่าน" รู้จักวิธีการเลือกหนังสือ เพื่อส่งเสริมความรู้และการพัฒนาตัวเอง
โครงการส่งเสริมการอ่านของประเทศสิงคโปร์นั้น มีหลากหลาย เน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกเพศทุกวัย อย่างกว้างขวาง โดยมีโครงการที่น่าสนใจและเป็นตัวอย่างที่ดี อาทิ National Kids Read Program เป็นโครงการที่เปิดรับสมัครอาสาสมัครเพื่ออ่านหนังสือ เล่านิทานให้เด็กๆ ในชุมชน , โรงเรียนอนุบาล , ประถม และมัธยมศึกษา โดยเน้นให้เด็กได้มีส่วนร่วม สนุกสนานกับเรื่องเล่า เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษในเรื่องเล่า และได้ข้อคิดดีๆ จากเรื่องเล่าหรือนิทานที่ฟัง เพราะเมื่อเด็กสนุกก็จะทำให้พวกเขาอยากที่จะเปิดหนังสืออ่าน และมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือว่าไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ ซึ่งเด็กๆ ยังได้รับความรู้ใหม่ๆ ที่จะนำไปใช้ในด้านการเรียนและใช้ในชีวิตประจำวันได้
โครงการ 10,000 & More Father Reading เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่ได้รับการตอบรับอย่างดีในสิงคโปร์ เป็นกิจกรรมที่สนับสนุนให้พ่อจากทุกอาชีพอ่านหนังสือให้ลูกฟัง หรืออ่านหนังสือกับลูกๆ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความผูกพันระหว่างพ่อกับลูกผ่านการอ่านหนังสือ กิจกรรมนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2550 มีผู้เข้าร่วมและได้ประโยชน์กว่า 60,000 คน และยังมีกิจกรรมต่อเนื่องคือ "Read a story with my Dad" เป็นการแข่งขันวิจารณ์หนังสือ โดยมีโรงเรียนอนุบาล และศูนย์ดูแลเด็กเข้าร่วม โดยห้องสมุดแห่งชาติจะมีการ์ดแจกให้เด็กๆ จากนั้นให้เด็กๆ นำกลับไปที่บ้านให้พ่ออ่านให้ฟัง เมื่ออ่านเสร็จแล้วก็ส่งการ์ดกลับมาที่ห้องสมุดแห่งชาติ เพื่อเลือกการ์ดและให้รางวัล ผู้ที่ได้รับคัดเลือกก็จะมาที่ห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือและทำกิจกรรมร่วมกัน จากนั้นบรรดาคุณพ่อจะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน และประสบการณ์การอ่านหนังสือให้ลูกๆ ฟัง และจัดทำหนังสือเพื่อเผยแพร่ต่อไป
นาง เกียง-โก๊ะ ไล ลิน กล่าวว่า อีกโครงการที่สำคัญในการส่งเสริมการอ่านของประเทศสิงคโปร์ คือ "Read! Singapore" หรือ โครงการ "มาอ่านหนังสือกันเถอะ!" เป็นโครงการรณรงค์การอ่านทั่วประเทศ เพื่อมุ่งปลูกฝังการรักการอ่านในชุมชนทั่วประเทศ เสริมความผูกผันของคนในชุมชน และจุดประกายจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ให้กับคนสิงคโปร์ ริเริ่มโดยคณะกรรมหอสมุดแห่งชาติสิงคโปร์ โดยทำงานร่วมกับภาครีกว่า 100 แห่ง มีการจัดการอภิปรายและกิจกรรมการอ่านมากกว่า 16,000 ครั้ง กิจกรรมนี้จะมีการจัดขึ้นนาน 12-14 สัปดาห์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมของทุกปี ที่ผ่านมามีผู้ร่วมโครงการแล้วกว่า 160,000 คนภายในปี 2553
"การอ่าน..เป็นนิสัยที่ดีที่สุดในการบ่มเพาะสติปัญญา แม้ในโลกปัจจุบันผู้คนนิยมใช้อินเตอร์เน็ตมากขึ้น แต่ก็ยังมีกลุ่มคนรักการอ่านหนังสือผุดขึ้นมากมายทั่วโลก อย่างโครงการ "หนึ่งเล่มหนึ่งเมือง" ของสหรัฐอเมริกาขณะที่เรามีโครงการ"มาอ่านหนังสือกันเถอะ!สิงคโปร์" ซึ่งโครงการนี้ถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะสามารถดึงกลุ่มเป้าหมายจากหลากหลายอาชีพมาจัดตั้งชมรมการอ่านเฉพาะกลุ่มขึ้น เช่น กลุ่มคนขับรถแท็กซี่ ครู ช่างทำผม เจ้าหน้าที่ดูแลสุขภาพ พนักงานโรงแรมและบริการ กลุ่มผู้สูงอายุ เยาวชน ประชาชนทั่วไป หัวหน้าองค์กรรากหญ้า รวมถึงเจ้าหน้าที่พลเรือน และกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ปัจจุบันมีชมรมการอ่านเฉพาะกลุ่มขึ้นมากกว่า 90 แห่ง
เราดีใจที่เห็นคนทุกกลุ่มหันมาสนใจการอ่าน และพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จก็มีการไปอ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำอีก เพราะประเด็นที่พูดคุยกันมีหลากหลาย น่าสนใจ ทำให้เราสนใจและกลับไปอ่านหนังสือเล่มนั้นเพิ่มเติม ที่สำคัญคือ เราเห็นว่าคนที่มาทำกิจกรรมร่วมกันมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นอกจากจะส่งเสริมการอ่านแล้ว ยังเป็นการสร้างความสามัคคีของคนในชาติ ส่งเสริมความสัมพันธ์ของคนแต่ละกลุ่ม แต่ละชุมชนอีกด้วย " นาง เกียง-โก๊ะ ไล ลิน กล่าว
ผู้อำนวยการโครงการริเริ่มด้านการอ่าน ย้ำว่า การส่งเสริมให้ประชาชนทุกวัยทุกอาชีพหันมาสนใจการอ่านหนังสือ ไม่ใช่แค่การให้ประชาชนมาอ่านหนังสือแล้วจบไป แต่เมื่ออ่านหนังสือเสร็จแล้ว ยังมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่หลากหลายจากหนังสือที่อ่านเรื่องเดียวกัน ทั้งนี้ เพื่อมุ่งพัฒนาให้คนสิงคโปร์มีทักษะการคิดแบบวิพากษ์วิจารณ์ มีความคิดสร้างสรรค์ และกล้าแสดงออก ถือเป็นการสร้างวัฒนธรรมการอ่านขึ้นในชุมชนทั่วประเทศ
จากก้าวเล็กๆ สู่การก้าวย่างที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและมั่นคง ทั้งคุณภาพคนและสังคมที่ดี ตัวอย่างจากประสบการณ์การส่งเสริมการอ่านของประเทศเพื่อนบ้านประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ จะเห็นได้ชัดว่า "เริ่มจากการอ่าน" แต่การจะส่งเสริมให้คนหันมาสนใจการอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้ได้นั้น ต้องอาศัยความรู้และความร่วมมือจากหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล เอกชน และคนในประเทศที่จะช่วยกันขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการอ่านให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพของคน และสังคมให้น่าอยู่ต่อไป

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

น้ำแข็งแห้ง อันตรายข้างตัวที่นึกไม่ถึง!!


น้ำแข็งแห้ง, คาร์บอนไดออกไซด์เหลว, อันตรายจากน้ำแข็งแห้ง, น้ำแข็ง, เย็น
อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้!!
หลายคนคงนึกถึงอะไรเย็นๆ ที่จะช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายลงได้ อย่างห้องที่เปิดแอร์เย็นๆ มีพัดลมสักตัว หรือแม้แต่การซื้อ น้ำแข็ง ตามท้องตลาดมารับประทานเพื่อดับร้อน... บางรายก็มีไอเดียเก๋ไก๋ เอาน้ำแข็งชนิดที่รับประทานไม่ได้อย่าง น้ำแข็งแห้ง มาใช้คลายร้อนซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ!! ...แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการทำแบบนี้ก็มีโทษอย่างที่เราเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน...
น้ำแข็งแห้ง แต่ก่อนใช้กันในเฉพาะวงการอุตสาหกรรม เป็นวัตถุดิบสำหรับทำฝนเทียม ทำน้ำยาดังเพลิงเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันมีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นงานใหญ่โตต่างๆ ในคอนเสิร์ตเองก็ใช้เพื่อสร้างควันหรือหมอกจำลอง แม้แต่งานแต่งงานก็มีการใช้น้ำแข็งแห้งมาประดับภายในงานเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและเย็นสบาย ...ส่วนที่เห็นได้ใกล้ตัวเราอย่างการบรรจุใส่รถขายไอศกรีม เพื่อไม่ให้ไอศกรีมละลาย ....ที่นำมาใช้แบบนี้เป็นเพราะน้ำแข็งแห้งมีอุณหภูมิเย็นจัดถึงลบ 80 องศาเซลเซียส ขณะที่น้ำแข็งธรรมดาทั่วไปมีอุณหภูมิราว 0 องศา โดยมีความเย็นมากกว่าน้ำแข็งธรรมดาทั่วไป 2 หรือ 3 เท่า จึงนิยมนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหารประเภทไอศกรีม นม เบเกอรี่ ไส้กรอก และเนื้อสัตว์ เพื่อถนอมอาหารในขั้นตอนการผลิตหรือในการขนส่ง หรือใช้เก็บอาหารสำหรับเสิร์ฟบนเครื่องบิน และอาจใช้ผสมในเครื่องดื่มเพื่อให้เกิดฟองปุดๆ ทำให้เครื่องดื่มนั้นดูน่าสนใจขึ้น
แต่หากนำมาใช้กันอย่างถูกวิธี น้ำแข็งแห้ง ก็ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่หากใช้ผิดวิธีแล้วล่ะก็!! อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เช่นกัน เพราะ น้ำแข็งแห้งหรือดรายไอซ์นั้นแท้จริงแล้ว มันก็คือคาร์บอนไดออกไซด์ในสถานะของแข็ง หรือชื่ออย่างเป็นทางการของมันก็คือ คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง นั่นเอง ขั้นตอนในการผลิตก็ค่อนข้างซับซ้อน นั่นคือต้องนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาผ่านการอัดและลดอุณหภูมิลงภายใต้ความดันสูง จนได้ออกมาเป็นคาร์บอนไดออกไซด์เหลวจากนั้นก็ต้องทำการลดความดันลงอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปแล้วจะใช้วิธีการพ่นคาร์บอนไดออกไซด์เหลวออกไปสู่ความดันบรรยากาศ จึงจะได้ คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง หรือ น้ำแข็งแห้งออกมาเป็นรูปร่างต่างๆ แต่น้ำแข็งแห้งจะไม่หลอมละลายกลายเป็นน้ำเหมือนน้ำแข็งทั่วไป แต่จะระเหิดและกลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แทน
น้ำแข็งแห้ง, คาร์บอนไดออกไซด์เหลว, อันตรายจากน้ำแข็งแห้ง, น้ำแข็ง, เย็น
เพราะความเย็นจัดของไอ้เจ้าน้ำแข็งแห้งนี่เอง...ที่ทำให้เราอาจได้รับบาดเจ็บ หากสัมผัสมันด้วยมือเปล่า เพราะอาจทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า frost bite หรือผิวหนังไหม้จากอุณหภูมิเย็นจัด ซึ่งอาการจะปวดแสบ ปวดร้อนยิ่งกว่าการถูกไหม้จากน้ำร้อนลวกเสียอีก ดังนั้น เวลาจำเป็นต้องสัมผัสน้ำแข็งแห้ง จึงควรใช้ถุงมือหรือกระดาษมารองไว้อีกหนึ่งชั้นก็พอจะช่วยลดอันตรายลงได้บ้าง หากในกรณีที่ถูกน้ำแข็งกัด ก็ให้ล้างมือโดยเร็ว ด้วยน้ำสะอาดในปริมาณมากและไปพบแพทย์ทันที
แต่อันตรายที่ยิ่งกว่าของน้ำแข็งแห้ง ก็คือ ต้องไม่ลืมว่า ทั้งก้อนน้ำแข็งแห้งนั้น มันคือ คาร์บอนไดออกไซด์เพียวๆ ซึ่งจัดว่าเป็นก๊าซอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจของเรา หากต้องเล่นกับน้ำแข็งแห้งที่มีการระเหิดมากๆ จึงควรอยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หรืออยู่กลางแจ้งเท่านั้น นอกจากนี้ การเก็บน้ำแข็งแห้งจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ห้ามจัดเก็บน้ำแข็งแห้งปริมาณมาก ๆ ในห้องแคบหรือห้องที่มีเพดานต่ำ หรือที่มีระบบระบายอากาศไม่ดีพอ เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะระเหิดออกมาแทนที่ก๊าซออกซิเจน อาจทำให้ขาดอากาศหายใจเสียชีวิตได้ อีกทั้ง ไม่ควรเก็บน้ำแข็งแห้งไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท เพราะคาร์บอนไดออกไซด์ที่ระเหิดออกมา อาจรวมตัวและเกิดระเบิดขึ้นได้ ที่สำคัญ!! ไม่ควรที่จะมาเก็บน้ำแข็งแห้งไว้ในตู้เย็นโดยเด็ดขาด เพราะอุณหภูมิของน้ำแข็งแห้งนั้น ต่ำกว่าอุณหภูมิของตู้เย็น ซึ่งอาจทำให้ตู้เย็นไม่ทำงาน
น้ำแข็งแห้ง, คาร์บอนไดออกไซด์เหลว, อันตรายจากน้ำแข็งแห้ง, น้ำแข็ง, เย็น
และหากจำเป็นต้องนำน้ำแข็งแห้งไปใช้ประกอบการแสดงคอนเสิร์ต ควรจัดระบบระบายอากาศด้านล่างให้เหมาะสม เพราะหากระบบระบายอากาศถ่ายเทไม่ดี ก็อาจจะเกิดปัญหาได้เช่นกัน เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะมีน้ำหนักมากกว่าอากาศทั่วไป ทำให้ก๊าซดังกล่าวลอยในระดับต่ำ ซึ่งนั้นก็หมายความว่าก๊าซจะลอกอยู่ในระดับผู้ชมด้านล่างนั่นเอง อาจส่งผลต่อระบบหายใจได้ และที่สำคัญที่สุดห้ามบริโภคน้ำแข็งแห้งโดยตรง หรือแม้กระทั่งน้ำที่ถูกแช่ด้วยน้ำแข็งแห้งโดยเด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนได้ชื่อว่าเป็นคาร์บอนไดออกไซด์นั่นเอง และจำต้องเก็บให้พ้นมือเด็กด้วย
เห็นแล้วหรือยังครับว่าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรา หากใช้ให้ถูกวิธี ประโยชน์นับไม่ถ้วน แต่หากผิดวิธีกลับมีอันตรายถึงชีวิตได้... น้ำแข็งแห้งคืออะไร? น้ำแข็งแห้งเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่แข็งตัว ซึ่งได้ผ่านกรรมวิธีการผลิตทางเคมีแล้ว กรรมวิธีการผลิตก็คือการทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เย็นโดยใช้ความกดดัน ในขั้นแรกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะกลายเป็นของเหลว แล้วใช้ท่อเป่าของเหลวนี้อีกจนกลายเป็นของแข็งไปในที่สุด น้ำแข็งแห้งจะมีความเย็นจัดมาก มีอุณหภูมิถึง -80 องศาเซลเซียส การที่น้ำแข็งแห้งมีอุณหภูมิเย็นจัดเช่นนี้เอง จึงเป็นอันตรายต่อเรามาก หากเราเผลอรับประทานเข้าไปอาจถึงตายได้ หรือแม้กระทั่งถูกผิวหนังของเรา ก็ทำให้ผิวหนังเราไหม้ได้ แต่เราใช้ประโยชน์จากน้ำแข็งแห้งโดยการแช่เย็นผัก หรือสินค้าอื่นๆ ที่เราต้องการขนส่งในระยะทางที่ไกลๆ ได้ เช่น ขนไปต่างประเทศ เป็นต้น หรือใช้น้ำแข็งแห้งในการวิจัยทางการแพทย์ เพื่อแช่สายเคมีบางอย่างซึ่งนิยมใช้มากในทางการแพทย์ ส่วนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ข้อมูลจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติระบุว่า... ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการแยกก๊าซ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น เป็นน้ำแข็งแห้งสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมถนอมอาหาร เป็นวัตถุดิบสำหรับในการทำฝนเทียม น้ำยาดังเพลิง สร้างควันหรือหมอกจำลอง ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม เป็นต้น
เรื่องโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th

มังคุดทำลายเซลล์มะเร็ง



สตรีนักวิทย์ศึกษาสารสกัดจากเปลือกมังคุด พบฤทธิ์จู่โจมเฉพาะเซลล์มะเร็งในร่างกาย โดยไม่สร้างความเสียหายให้เซลล์ดีที่อยู่รายรอบ มั่นใจงานวิจัยสามารถพัฒนาเป็นยามะเร็งประสิทธิภาพสูงในอนาคต
รศ.ดร.รมิดา วัฒนโภคาสิน ภาควิชาเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เปิดเผยว่า ใช้เวลากว่า 2 ปีศึกษาฤทธิ์ต้านมะเร็งจากสมุนไพร หลังจากเชื่อว่าสมุนไพรบางชนิด อาทิ มังคุด ขมิ้นชัน ใบพุทรา สามารถต้านเซลล์มะเร็ง ทั้งนี้ ผลจากการทดสอบพบว่า สารสกัดจากเปลือกมังคุดสามารถจัดการกับเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี แม้จะใช้เพียงเล็กน้อยเพียง 4 มิลลิกรัมก็ตาม
สารสกัดจากเปลือกมังคุดที่นำมาใช้ในการศึกษานี้ ได้รับการสนับสนุนจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยการทดสอบพบว่า สารสกัดในปริมาณ 4 มิลลิกรัมดังกล่าว สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้กว่า 50% ของเซลล์มะเร็งทั้งหมด และจากการขยายผลนำสารสกัดไปทดสอบกับเซลล์มะเร็งอื่น ก็พบว่าสามารถออกฤทธิ์ดีในการทำลายเซลล์มะเร็งลำไส้และเซลล์มะเร็งตับ
นอกจากนี้ นักวิจัยยังได้ศึกษาเทคนิคการรักษามะเร็งด้วยยีนบำบัด โดยนำสารสกัดจากมังคุดใส่ในเม็ดบีดขนาดจิ๋วระดับนาโน จากนั้นอาศัยไวรัสที่ถูกทำให้อ่อนตัวและไม่เป็นอันตราย เป็นตัวนำเม็ดบีดนั้นเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ ซึ่งวิธีดังกล่าวสามารถที่จะประยุกต์ใช้ในการรักษาโรคทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย หรือโรคเลือดจาง ส่วนสารสกัดจากสมุนไพรขมิ้นชันและใบพุทรา ยังอยู่ระหว่างการศึกษา
ที่มา: สถาบันการแพทย์แผนไทย

วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555

นีล อาร์มสตรอง นักบินอวกาศคนแรกของสหรัฐฯ เสียชีวิตแล้ว



มนุษย์เหยียบดวงจันทร์คนแรกของโลกเสียชีวิตแล้ว (ไอเอ็นเอ็น)
          "นีล อาร์มสตรอง" นักบินอวกาศคนแรก ของสหรัฐ เสียชีวิตลงแล้ว ด้วยวัย 82 ปี จากอาการติดเชื้อขณะเข้ารับการผ่าตัดโรคหลอดเลือดหัวใจ
          สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงดึกของวันที่ 25 ส.ค. ที่ผ่านมา ตามเวลาประเทศไทย "นีล อาร์มสตรอง" นักบินอวกาศคนแรก ของสหรัฐฯ ซึ่งเดินทางไปเหยียบดวงจันทร์มาแล้ว กับยาน "อพอลโล 11" เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2512 เสียชีวิตลงแล้ว มีอายุได้ 82 ปี ด้วยอาการติดเชื้อขณะเข้ารับการผ่าตัดโรคหลอดเลือดหัวใจ
          รายงานข่าวระบุว่า "นีล อาร์มสตรอง" เคยเข้ารับการผ่าตัดขยายหลอดเลือดหัวใจเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาหลังแพทย์พบอาการอุดตันที่หลอดเลือดแดงใหญ่ที่หัวใจ ขณะที่ครอบครัวของ "อาร์มสตรอง" ออกแถลงการณ์ระบุว่า เขาเสียชีวิตระหว่างการผ่าตัดขยายหลอดเลือดหัวใจ และมีอาการติดเชื้อ แต่ไม่ได้ระบุว่าเสียชีวิตที่ใด
          สำหรับ นีล อาร์มสตรอง เกิดเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2473 ที่เมืองวาปาโคเนตา รัฐโอไฮโอ ชื่นชอบเรื่องการบินมาตั้งแต่เด็ก เรียนขับเครื่องบินครั้งแรกเมื่ออายุ 15 ปี พออายุ 16 ปี ก็ได้ใบอนุญาตนักบิน เคยเป็นนักบินในกองทัพเรือสหรัฐฯ ปฏิบัติภารกิจ 78 ครั้งในสงครามเกาหลี โดยในปี 2498 เป็นนักบินทดสอบอยู่ที่ฐานทัพอากาศเอ็ดเวิร์ด รัฐแคลิฟอร์เนีย จากนั้นอีก 7 ปีต่อมา ได้รับเลือกจาก องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ ของสหรัฐฯ หรือ นาซา ให้มาเป็นนักบินอวกาศที่เมืองฮุสตัน รัฐเท็กซัส และ เกษียณอายุจากนาซาในปี 2514 ด้านชีวิตส่วนตัว แต่งงานกับ แคโรล ไนท์ เมื่อปี 2542 แต่มีบุตรชาย 2 คน จากการสมรสก่อนหน้านี้
          ซึ่ง นีล อาร์มสตรอง เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการบินอวกาศของสหรัฐฯ ในฐานะเป็นนักบินอวกาศคนแรกของสหรัฐฯ ที่เดินทางไปเหยียบดวงจันทร์สำเร็จพร้อมกับเพื่อนนักบินอวกาศอีกคน "บัซ อัลดริน" ท่ามกลางผู้ชม 450 ล้านคน ที่ได้ชมการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ไปทั่วโลกที่คอยติดตามชมในวันนั้น แต่กลับเป็นเสมือนกับวีรบุรุษของชาวอเมริกันผู้ถูกละเลย

8 อาหารมหัศจรรย์เพื่อฟันสวย


แอปเปิ้ล

8 อาหารมหัศจรรย์เพื่อฟันสวย (Lisa)

          อยากฟันขาวต้องกินอะไร มีเทคนิคอย่างไรให้คราบอาหารหลุดลอก เรามาลองดูกัน

1.แอปเปิ้ล และแครอท ทั้งสองอย่างนี้คือผักผลไม้กรอบที่ช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำลาย ซึ่งเป็นน้ำยาทำความสะอาดตามธรรมชาติ และด้วยความกรอบ จึงช่วยขัดคราบออกจากฟันในขณะที่เคี้ยวด้วย

2.บร็อกโคลี่ ไม่เพียงแต่บร็อกโคลี่จะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันคุณจากมะเร็งและโรคหัวใจ แต่ยังช่วยปกป้องฟันโดยการสร้างเยื่อบาง ๆ ที่มีฤทธิ์ต้านกรด จึงช่วยปกป้องและเคลือบฟันอีกทีหนึ่ง เคยมีงานวิจัยจากบราซิลพบว่า บร็อกโคลี่จะช่วยลดการสึกกร่อนของเคลือบฟันที่เกิดจากน้ำอัดลมได้กว่าครึ่ง

3.ส้ม และสับปะรด ผลไม้ทั้งสองช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำลาย สำหรับส้มนั้น ลองนำด้านในของเปลือกมาถูกับฟัน จะช่วยลดการสะสมของคราบ ทำให้ยิ้มของคุณสวยขึ้นอีก
 


4.น้ำมะนาว สิ่งที่ต้องลองก็คือ ผสมน้ำมะนาวกับเบคกิ้งโซดา หรือเกลือ เพื่อนำมาแปรงฟันให้ฟันขาว (อย่าลืมกลั้วปากให้สะอาดด้วยน้ำเปล่าหลังจากนั้น เพราะกรดจากน้ำมะนาวอาจทำให้เคลือบฟันกร่อนได้)

5.สตรอเบอร์รี่ แตกต่างจากเบอร์รี่สีเข้มอื่น ๆ เพราะสตรอเบอร์รี่จะไม่ทำให้ฟันเป็นคราบ แต่จะช่วยขัดฟัน ลองผสมแป้งทำเป็นครีมแล้วทาลงบนฟันสัก 5 นาทีแล้วค่อยล้าง จะพบว่าฟันสะอาดขึ้น

 6.เห็ดหอม ความลับอยู่ที่น้ำตาล Lentinan ในเห็ดหอม จะช่วยป้องกันการสะสมของแบคทีเรียในช่องปากที่นำไปสู่ฟันผุและเคลือบฟันกร่อน

7.งา เมล็ดงาทำหน้าที่เป็นเหมือนสครับที่ช่วยลดคราบฟัน นอกจากนี้ ยังให้แคลเซียมซึ่งจำเป็นอย่างมากต่อสุขภาพฟันที่ดี นอกจากงาแล้ว ถั่วอย่างเช่น อัลมอนด์ ก็ให้ผลแบบเดียวกัน

8.น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ นับเป็นน้ำยาขจัดคราบที่ดีมาก แต่รสชาติไม่ค่อยเหมาะกับการนำไปกลั้วปากเท่าไหร่ ลองใช้แอปเปิ้ลไซเดอร์ผสมกับเบกกิ้งโซดาทำเป็นครีมไว้ถูบนฟันจะดีกว่า

Tip

          คุณรู้หรือไม่ว่า.. วิธีแปรงฟันที่ดีที่สุดคือ จับหัวแปรงเอียง 45 องศา แล้วค่อย ๆ แปรงเป็นวงกลม เหมือนจับดินสอ คุณจะได้ไม่แปรงฟันแรงเกินไป

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

จับตา เฝ้าระวัง ยับยั้งอุตสาหกรรมบุหรี่ แนวทางปกป้องสังคมไทยพ้นพิษภัยยาสูบ


"บุหรี่" ตัวการร้ายก่อโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดลม ปัจจัยหลักที่ทำให้ประชาชนไทยเสียชีวิตจากการบริโภคยาสูบปีละกว่า 42,000 คน และสูญเสียเงินในการรักษาพยาบาลเป็นจำนวนมหาศาล เชื่อว่าหลายคนต้องทราบพิษสงของมันดี แม้กระทั่งตัวผู้สูบเอง
ท่ามกลางกระแสณรงค์ต่อต้านการบริโภคยาสูบอย่างต่อเนื่อง โดยภาคประชาสังคมและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง แต่อัตราการบริโภคยาสูบของคนไทยกลับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง และเยาวชน ซึ่งพบว่าเยาวชนเริ่มสูบบุหรี่ที่อายุน้อยลง จากเริ่มสูบประจำเมื่ออายุเฉลี่ย 18.5 ปี เป็น 17.4 ปี แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการทำการตลาดของกลุ่มธุรกิจยาสูบ ที่สามารถโฆษณายาสูบเข้าถึงตัวผู้หญิงและเยาวชนได้ง่ายและใกล้ชิดยิ่งขึ้น
ในขณะที่กฎหมายการควบคุมยาสูบของไทยไม่ได้รับการบังคับใช้อย่างจริงจัง อีกทั้งล้าสมัยตามไม่ทันการตลาดรูปแบบใหม่ๆ จึงต้องพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินงานให้สามารถควบคุมสถานการณ์การบริโภคยาสูบให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการแก้ปัญหาไม่สามารถจะทำได้โดยองค์กรใด องค์กรหนึ่ง ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ โดยการสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จับมือ กระทรวงสาธารณสุข, มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่, ศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ และองค์กรภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันจัด ประชุมวิชาการ "บุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ" ครั้งที่ 11 เรื่อง "การแทรกแซงของอุตสาหกรรมยาสูบ"ขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้
นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานในงาน กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก ได้ให้คำขวัญรณรงค์ในวันงดสูบบุหรี่โลกว่า "จับตา เฝ้าระวัง ยับยั้งอุตสาหกรรมยาสูบ" เพื่อส่งเสริมให้ประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทยได้ร่วมกันรณรงค์เปิดโปงแนวทางกลยุทธ์การตลาด และสร้างกลไกป้องกันการแทรกแซงของอุตสาหกรรมบุหรี่ ให้สังคมได้รู้เท่าทันเพื่อปกป้องเยาวชนและประชาชนไทยจากยาสูบ ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขกำลังดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการควบคุมการบริโภคยาสูบฉบับใหม่ เพื่อใช้แทน 2 ฉบับเดิม ซึ่งใช้มานาน 20 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 คือ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ และพ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่ โดยผนวกให้เป็นฉบับเดียวและปรับบทบัญญัติให้มีความทันสมัย ทันต่อกลยุทธ์การตลาดของบริษัทบุหรี่ และผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ๆ ที่ออกสู่ท้องตลาด
นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ได้พูดถึงสถานการณ์การแทรกแซงของอุตสาหกรรมยาสูบในประเทศไทย ว่า อุตสาหกรรมยาสูบได้ใช้ความพยายามทุกวิถีทางในการขัดขวางการควบคุมยาสูบในทุกระดับ โดยรัฐและภาคีเครือข่ายต้องตื่นตัวที่จะต่อกรกับสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งประเทศไทยเองได้ลงนามในกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ อันเป็นอนุสัญญาว่าด้วยสุขภาพฉบับแรก ที่จัดทำโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อร่วมเป็นภาคีผลักดันกฎหมายควบคุมยาสูบโลก ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมยาสูบก็พัฒนายุทธวิธีในการค้าขึ้นด้วยเช่นกัน โดยองค์การอนามัยโลกเรียกยุทธวิธีนี้ว่า "การแทรกแซงของอุตสาหกรรมยาสูบ" ซึ่งลึกเร้นและรุกหนักขึ้นเป็นลำดับ
"กลยุทธ์ของอุตสาหกรรมยาสูบที่นำมาใช้เพื่อแทรกแซงให้นโยบายควบคุมยาสูบทุกระดับอ่อนแอ มีทั้ง การสืบความลับเพื่อประเมินและกำกับฝ่ายควบคุมยาสูบและแนวโน้มทางสังคม การประชาสัมพันธ์เอสร้างความนิยมต่อธุรกิจยาสูบ การให้ทุนกลุ่มการเมืองในการเลือกตั้ง หรือในการดำเนินการกฎหมายเพื่อเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจยาสูบ ตลอดจนการแทรกแซงการกำหนดและการปฏิบัติตามนโยบายทั้งด้านสาธารณสุขและด้านอื่นที่มีผลต่อการควบคุมยาสูบ นอกจากนั้นอุตสาหกรรมยาสูบยังใช้การจักกิจกรรมในรูปแบบองค์กรธุรกิจเพื่อสังคม หรือ ซีเอสอาร์เพื่อสร้างทัศนคติเชิงบวกให้กับธุรกิจดังกล่าว รวมถึง การสร้างภาพว่าอยู่ข้างกลุ่มปกป้องเยาวชนจากการใช้ยาสูบ เป็นต้น ดังนั้นสิ่งสำคัญที่คนในสังคมควรตระหนักคือการรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของบริษัทยาสูบเหล่านี้ และร่วมกันเป็นหูเป็นตา เพื่อเปิดโปงกระบวนการดังกล่าว"
นพ.ประกิตกล่าวอีกว่า การยับยั้งอุตสาหกรรมยาสูบต้องอาศัยพลังจากทุกภาคส่วนตอบโต้การแทรกแซงของอุตสาหกรรมยาสูบ โดยรัฐบาลต้องดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม และตอบโต้กลยุทธ์ มีการบริหารการควบคุมยาสูบอย่างโปร่งใส และกำหนดมาตรการที่มีประสิทธิภาพ เช่น จำกัดการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานรัฐกับธุรกิจยาสูบ ห้ามเจ้าหน้าที่และองค์กรรับเงินสนับสนุน เพื่อป้องกันประโยชน์แอบแฝงที่เอื้อต่อธุรกิจยาสูบ รวมทั้งไม่ควรอนุญาตให้โรงงานยาสูบ ผลิตยาสูบราคาถูก ซึ่งพุ่งเป้าไปที่เยาวชนและกลุ่มคนรายได้น้อย ส่งผลให้มีจำนวนผู้สูบบุหรี่มากขึ้น
ด้าน ผศ.ดร.ปิยะรัตน์ นิ่มพิทักษ์พงศ์ หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยและวิชาการด้านการควบคุมยาสูบ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า นอกจากการแทรกแซงด้วยกลวิธีต่างๆ แล้ว อุตสาหกรรมยาสูบยังใช้ภาคประชาสังคม เป็นองค์กรบังหน้า เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความชอบธรรมให้แก่ตนเองอีกด้วย อาทิ ชมรม/สมาคมนักสูบ ที่มักอ้างเรื่องสิทธิส่วนบุคคลของผู้สูบ, การให้ทุนสนับสนุนสถาบันวิจัยบุหรี่และนักวิจัย บิดเบือนและแย้งผลการวิจัยข้อเสียของบุหรี่, การใช้กลุ่มสมาคมผู้ปลูกยาสูบเป็นเครื่องมือเคลื่อนไหวชะลอการขึ้นภาษี และพันธมิตรทางธุรกิจที่ได้รับผลประโยชน์จากอุตสาหกรรมยาสูบ เช่นธุรกิจบันเทิง ภาพยนตร์ ท่องเที่ยว และสื่อมวลชนบางกลุ่มอีกด้วย
เห็นได้ว่าอุตสาหกรรมยาสูบมีอิทธิพล และอำนาจมหาศาล อีกทั้งใช้กลยุทธ์การตลาดที่แนบเนียนแยบยล หลอกล่อให้ผู้ที่ไม่รู้เท่าทัน จนทำให้จำนวนนักสูบหน้าใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องร่วมกัน จับตา เฝ้าระวัง ยับยั้ง อุตสาหกรรมยาสูบ พร้อมทั้งติดอาวุธทางปัญญาแก่เยาวชนไม่ให้ติดกับดักสินค้าแห่งความตายนี้
สูบบุหรี่ เสพความตาย พ่นพิษร้ายสู่คนใกล้ชิด
เรื่องโดย : ศิรินทิพย์ อิสาสะวิน Team content www.thaihealth.or.th

แอปเปิ้ลแต่ละสีมีประโยชน์ต่างกัน


แอปเปิ้ล ผลไม้ยอดนิยม นอกจากรูปร่างจะน่ารับประทานแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย แอปเปิ้ลในท้องตลาดมีอยู่หลายสี แต่ละสีก็มีประโยชน์แตกต่างกัน

หลายคนไม่ชอบทานเปลือกแอปเปิ้ล ซึ่งนั่นผิดมหันต์ เพราะจะทำให้คุณค่าจากสารอาหารที่จะได้รับจากผลไม้ชนิดนี้ ลดลงไปอย่างมาก ประโยชน์ของแอปเปิ้ลที่คุณควรรู้มีดังต่อไปนี้
แอปเปิ้ลที่เห็นตามท้องตลาด มีทั้งเปลือกสีแดง สีชมพู สีเขียว และสีเหลือง แตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ แต่เนื้อข้างในก็เหมือนกันคือ เป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวล ทราบไหมว่า เมื่อรับประทานแอปเปิ้ลโดยไม่ปอกเปลือก 1 ผล จะได้รับพลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี่ มีวิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม และวิตามินซีมากถึง 7.9 มิลลิกรัม
นอกจากนั้นยังมีสารเบต้าแคโรทีน และเส้นใยไฟเบอร์ ช่วยในเรื่องของการบำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส

แต่ถ้าปอกเปลือกปริมาณสารอาหารดังกล่าวก็จะลดลงไปด้วย มีความเชื่อของฝรั่งกล่าวไว้ว่า การรับประทานแอปเปิ้ลวันละผล ช่วยให้ห่างไกลหมอได้ โดยแอปเปิ้ลแต่ละสีก็มีประโยชน์ต่างกันดังนี้
แอปเปิ้ลสีแดง
ประโยชน์ที่โดดเด่น คือ มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวอีกด้วย 
แอปเปิ้ลสีชมพู
คุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญคือ มีสารฟิโนลิกมากที่สุด ซึ่งสารตัวนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย
แอปเปิ้ลสีเขียว
มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะมีน้ำตาลน้อย และมีสารอิลาสตินและคอลลาเจนเช่นเดียวกัน ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี
แอปเปิ้ลสีเหลือง
มีสารเควอร์ซิติน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

ที่มา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
เรียบเรียงโดย Never-Age.com

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มีพุง(ใหญ่)เสี่ยงโรคร้ายพุ่ง(สูง)


พุงหนุ่มหรือพุงสาว ชื่อว่าพุง ไม่มีใครอยากมี นอกจากน่าเกลียดแล้วยังเป็นสาเหตุโรคร้ายสารพัด ต้องระวังอย่าให้เกิดพุง



พุงหรือคำเรียกที่เป็นทางการว่าหน้าท้อง เป็นอวัยวะที่ไม่ได้โชว์กันบ่อย นอกจากยามที่ใส่บิกินนี่ตัวจิ๋ว
ภาพของหน้าท้องที่แบนราบดูเซ็กซี่ของหญิงสาวดึงดูดสายตาได้ทุกเพศไม่เฉพาะหนุ่ม ๆ เช่นเดียวกับกล้ามท้องสุดเร้าใจของชายหนุ่มก็ยอดนิยมไม่แพ้กัน
หน้าท้องที่สวยงามนั้น คนทำงานออฟฟิศหรือนักธุรกิจทั้งหลายไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของมากนัก ส่วนใหญ่มักจะมีสภาพที่ล้ำหน้าหรือย้อยออกมาเกินหน้าเกินตา
ในรายที่รุนแรงก็ก้มมองไม่เห็นหัวแม่เท้าตนเอง บางคนปลอบใจตัวเองว่านี้คือสัญลักษณ์ของผู้ที่มีอันจะกินแต่ปัจจุบันมันคือสัญญาณอันตรายของโรคร้าย
มีเกณฑ์ตรวจสอบรอบเอวของคุณว่าอยู่ในภาวะเสี่ยงแค่ไหน รอบเอวคุณผู้หญิงไม่ควรเกิน 33 นิ้วและไม่เกิน 36 นิ้วในผู้ชาย ทำไมหน้าท้องที่แบนราบหรือคอดกิ่วในวัยหนุ่มสาวกลับมาเป็นสภาพแบบที่เราไม่ชื่นชม ส่วนเกินที่เพิ่มขึ้นมานั้น รับรองว่าไม่ใช่กล้ามเนื้อแน่นอน แต่เป็นไขมันและไขมันล้วน ๆ
ไขมันหน้าท้องมีอยู่สองประเภทที่เราควรรู้จักเอาไว้ คุณลองเอามือหยิกหน้าท้องคุณดู คุณจับได้แต่ผิวหนังหรือหนังติดมัน(เหมือนกับอาหารติดมันที่เราชอบกินทุกวัน)
ส่วนไขมันที่อยู่ติดผิวหนังและกล้ามเนื้อเราเรียกว่าไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) ส่วนนี้เป็นไขมันที่เรามองเห็นเป็นตัวปกปิด six pack ที่แสนงามของเรา ไขมันชนิดนี้อันตรายต่อสุขภาพของเราไม่มากนัก แต่อีกตัวสิน่ากลัว
ไขมันในช่องท้อง(Visceral Fat)ไขมันตัวนี้ไม่ทำให้พุงเรายื่นออกมาน่าเกลียด แต่มันจะอยู่ระหว่างกล้ามเนื้อท้องกับอวัยวะภายในช่องท้องของเรา หากมีมากก็เหมือนเราเอาไขมันไปหุ้มอวัยวะภายในร่างกายของเรา มันน่ากลัวขนาดไหน
ความน่ากลัวของไขมันในช่องท้องนี้ มันสามารถทำให้อวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายเกิดการอักเสบในระดับเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ของโรคอันตรายต่าง ๆ อาทิ โรคหัวใจ เบาหวาน 
ความดันโลหิตสูง เส้นโลหิตในสมองตีบหรือแตก
เป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างยิ่งสำหรับคนที่รักสุขภาพและรักคนใกล้ตัวอยากอยู่กับเขานาน ๆ การกำจัดไขมันในพุงควรเป็นวาระสำคัญสำหรับคุณ
แต่อย่ามองหาสูตรลับสูตรสำเร็จแบบชั่วข้ามคืนในการลดพุง ลดความเสี่ยงจากสารพัดโรคร้าย หรือตกเป็นเหยื่อโฆษณาเสียเงินซื้ออุปกรณ์สารพัดที่บอกว่าทำให้พุงเรายุบด้วยการทำเพียงไม่กี่ทีหรือไม่กี่ครั้งต่อวัน แล้วเอานางแบบหน้าท้องสุดสวยกับนายแบบกล้ามท้องเป็นมัดมาหลอกเรา
เป็นไปไม่ได้หรอกจ้า
มีการศึกษาถึงวิธีการลดพุงโดยใช้กลุ่มศึกษานับพันคน โดยแบ่งเป็นกลุ่มแรกเน้นควบคุมอาหารอย่างเดียว กลุ่มที่สองเพิ่มการออกกำลังกายเข้าไปด้วย ผลปรากฏว่ากลุ่มที่ควบคุมอาหารไปพร้อม ๆ กับการออกกำลังกาย สามารถลดไขมันหน้าท้องได้ดีกว่ากลุ่มแรก
การออกกำลังกายบางประเภทก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักในการลดพุง บางคนวิ่งบนสายพานแบบหนักหน่วง หรือเล่นเวทยกน้ำหนัก ซิทอัพเป็นร้อยครั้ง หัวใจเราได้ประโยชน์ กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น
แต่หน้าท้องก็ไม่เรียบเนียนดังใจต้องการ พุงอาจจะยุบไปหน่อย ได้ผลเล็กน้อย อะไรคือข้อผิดพลาดตกหล่น
การลดไขมันหน้าท้องทั้งไขมันใต้ผิวหนัง(Subcutaneous Fat) และไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ต้องใช้ความตั้งใจจริง ขอให้ระลึกไว้เสมอว่ากว่าที่เราจะสะสมไขมันจนได้พุงใหญ่ขนาดนี้ เราต้องใช้เวลาไม่น้อย
และเมื่อจะขจัดมันออกไปเราก็ต้องใช้เวลาพอสมควร ไม่ใช่ปล่อยให้มันใหญ่ใช้เวลามาห้าปีแล้วจะจัดการมันออกไปในเวลา5 อาทิตย์คงเป็นไปได้ยาก ในสภาพพฤติกรรมการกินการออกกำลังกายแบบเดิม ๆ
เมื่อเข้าใจข้อแรกนี้ เราก็จะให้เวลาในการจัดการที่สมเหตุสมผลและไม่ใจร้อนต้องการผลลัพธ์เร็ว ๆ และไม่ทำให้เราถอดใจไปก่อนจะสัมฤทธิ์ผล
วิธีการลดพุงยังมีอีกหลายตอนให้ติดตาม ตอนแรกนี้ขอให้ทำความเข้าใจในอันตรายของไขมันที่เคลือบหน้าท้องของเราไว้ อย่าประมาทสะสมมันจนสร้างปัญหาสุขภาพให้กับเรา นอกจากจะน่าเกลียดแล้วยังน่ากลัวอีกด้วย
ขจัดมันก่อนที่มันจะกำจัดชีวิตเรา

รักษาสิวง่ายๆ ด้วยว่านหางจระเข้


เวลาสิวขึ้นก็ว่าเครียดแล้ว แต่เมื่อหายสิวเจ้ากรรมหายก็ดันทิ้งรอยแผลไว้อีก -*- แต่อย่าพึงเครียดไป วันนี้พี่ๆ ทีมงาน Sanook! Campus มีวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้สิวและรอยแผลเป็นจากสิวจางหายไปได้ด้วย ว่านหางจระเข้ ^-^
วิธีการ
1. นำว่านหางจระเข้ไปแช่ในน้ำประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้ยางสีเหลืองไหลออกมา
2. ปอกเปลือกว่านหางจระเข้ออก จนเหลือแต่วุ้นใส นำไปล้างยางออกอีกที แล้วนำวุ้นมาหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ
3. นำเนื้อวุ้นมาทาใบหน้า ทาไปเรื่อยๆ จนกว่าเนื้อวุ้นจะไม่มีน้ำ เหลือแต่เส้นใย ก็ให้หยุดทา แล้วรีบล้างออกโดยเร็ว
สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ให้ทำการทดสอบก่อนว่าใช้โดย ตัดเนื้อวุ้นว่านขนาด 3 ซ.ม. ปิดไว้ตรงแขนด้านใน (หรือทาที่ท้องแขนด้านใน) จากนั้นปิดทับด้วยผ้าก๊อซและกระดาษไข เพื่อให้เนื้อวุ้นติดอยู่ ถ้าไม่มีอาการแดงหรือคันในเช้าวันรุ่งขึ้น แสดงว่าใช้เนื้อวุ้นว่านได้
เกร็ดน่ารู้ by Sanook! Campus : คำว่า "อะโล" (Aloe) เป็นภาษากรีซโบราณ หมายถึงว่านหางจระเข้ ซึ่งแผลงมาจากคำว่า "Allal" มีความหมายว่า ฝาดหรือขม ในภาษายิว ฉะนั้นเมื่อผู้คนได้ยินชื่อนี้ ก็จะทำให้นึกถึงว่านหางจระเข้

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

น้ำมะนาวร้อนดื่มดีช่วยล้างพิษ



ปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะชอบดื่มน้ำมะนาวเย็น แต่รู้หรือไม่ว่าการดื่มน้ำมะนาวแบบร้อนก็มีประโยชน์มากเช่นกัน เพราะการผสมน้ำมะนาวกับน้ำร้อน นอกจากจะมีปริมาณแคลอรี่ต่ำแล้ว ยังช่วยล้างพิษได้ดี โดยน้ำมะนาวร้อนจะช่วยบำรุงตับให้ผลิตน้ำดีออกมาช่วยในการย่อยอาหารให้เร็วขึ้น และยังช่วยขับของเสียที่คั่งอยู่ในท้อง ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการบวมท้องลดลงอีกด้วย เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ควรดื่มก่อนมื้ออาหาร หรือดื่มทันทีหลังจากตื่นนอนตอนเช้า เพื่อทำให้ร่างกายสดชื่นไปในตัว
ที่มา : health&cuisine

คนไทยอ่านหนังสือ 35 นาที/วัน


สํานักงานสถิติแห่งชาติ สํารวจการอ่านหนังสือของประชากร พ.ศ. 2554 โดยเก็บรวบรวมข้อมูล ระหว่างเดือนพฤษภาคม -มิถุนายน จากจํานวนครัวเรือนตัวอย่างประมาณ 53,000 ครัวเรือน
ผลการสารวจที่สำคัญ สรุปได้ดังนี้ การอ่านของเด็กเล็ก นอกเวลาเรียน ทั้งการอ่านด้วยตัวเองและมีผู้ใหญ่อ่านให้ฟัง พบว่า เด็กเล็กมีอัตราการอ่านหนังสือ ร้อยละ 52.8 เพิ่มขึ้นจากการสำรวจในปี 2551 โดยเด็กผู้หญิงอัตราการอ่านหนังสือสูงกว่าเด็กผู้ชาย คือร้อยละ 55.9 และ 49.9 ตามลําดับ
ขณะที่เด็กในเขตเทศบาล อ่านหนังสือสูงกว่า เด็กนอกเขตเทศบาล โดยเด็กเล็กในกรุงเทพมหานคร มีอัตราการอ่านหนังสือสูงสุด ร้อยละ 67.2 และเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นมากกว่าพื้นที่อื่นๆ ขณะที่ภาคกลาง เด็กเล็ก มีอัตราการอ่านหนังสือต่ำสุด ร้อยละ 47.4
ขณะที่อัตราการอ่านนอกเวลาเรียนและนอกเวลาทำงานของคนไทยที่อายุตั้งแต่ 6 ปี ขึ้นไป เปลี่ยนไปจากการอ่านของเด็กเล็กคือ มีอัตราการอ่านร้อยละ 68.8 มากกว่าเด็กเล็ก และผู้ชายอ่านมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย คือร้อยละ 69.3 และ 68.3 ตามลำดับ
ขณะที่กรุงเทพมหานคร ยังเป็นพื้นที่ที่มีการอ่านของคนกลุ่มนี้มากที่สุดในประเทศเช่นเดิม คือร้อยละ 89.3 ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นพื้นที่ที่มีอัตราการอ่านหนังสือต่ำที่สุดคือ ร้อยละ 62.8
เมื่อพิจารณาจากช่วงอายุ พบว่า วัยเด็กอายุ 6-14 ปี มีอัตราการอ่านหนังสือสูงสุดถึงร้อยละ 91.2 รองลงมาคือเยาวชน อายุ 15-24 ปี อ่านหนังสือร้อยละ 77.9 วัยทํางานอายุ 25-59 ปีอ่านหนังสือร้อยละ 66.5 และตํ่าสุดคือวัยสูงอายุ อายุ 60 ปีขึ้นไป อ่านหนังสือร้อยละ 43.9
เมื่อนำผลการสำรวจนี้ไปเปรียบเทียบกับปี 2551 มีเพียงกลุ่มเยาวชนเท่านั้น ที่มีอัตราการอ่านหนังสือลดลง ส่วนจำนวนเวลาที่กลุ่มตัวอย่างใช้ในการอ่านหนังสือนอกเวลาเรียนและนอกเวลาทำงานคือ ผู้ที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป อ่านหนังสือเฉลี่ย 35 นาทีต่อวัน โดยกลุ่มเด็กและเยาวชน ใช้เวลาอ่านเฉลี่ย 40-41 นาทีต่อวัน มากกว่า วัยทำงานและสูงอาย ที่ใช้เวลาอ่านหนังสือเฉลี่ย 31-32 นาทีต่อวัน
เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2551 พบว่ากลุ่มเด็กคืออายุ 6-14 ปี ใช้เวลาอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย คือจาก 38 นาที เพิ่มเป็น 41 นาที ในขณะที่กลุ่มอื่นๆ อ่านหนังสือลดลงทั้งหมด
 
by Watsana

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มารู้จักน้ำแร่กันเถอะ !!


ในปัจจุบันนี้มีความสนใจในเรื่องน้ำแร่ชนิดต่างๆที่มีผลต่อสุขภาพ โดยเฉพาะ "น้ำแร่พลังแม่เหล็ก" แต่เนื่องจากข้อมูลจากการศึกษาเท่าที่รวบรวมได้ยังมีน้อยและไม่ชัดเจน จึงขอกล่าวถึงน้ำแร่ที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งอาจมีหลายยี่ห้อหลายรูปแบบ แต่ก่อนที่คุณจะเลือกซื้อมาบริโภคนั้น อยากให้ได้รับข้อมูลที่น่าจะมีประโยชน์ต่อการเลือกบริโภคน้ำแร่ โดยจะนำเสนอประเภทของน้ำแร่ที่แยกตามผลที่มีต่อร่างกายและฤทธิ์ในการบำบัดโรคเป็นเกณฑ์ในการจัดประเภทน้ำแร่
ชนิดของน้ำแร่
น้ำแร่ไบคาร์บอเนต (Bicarbonate water) มีปริมาณไบคาร์บอเนต> 600 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยปรับให้สารคัดหลั่งที่มีฤทธิ์เป็นกรดกลายเป็นกลาง, กระตุ้นการเคลื่อนของอาหารจากกระเพาะไปยังลำไส้เล็กให้เร็วขึ้น, กระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนในกระเพาะอาหาร, ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำและเหลือแร่ให้แก่ร่างกาย จึงควรดื่มน้ำแร่นี้ 500-700 มิลลิลิตร ก่อนออกกำลังกายหรือทำงานที่ต้องเสียเหงื่อ เนื่องจากจะช่วยในการลดภาวะเลือดเป็นกรด
ตัวอย่างของน้ำแร่ชนิดนี้ได้แก่ น้ำแร่ยี่ห้อ Volvic, Fiji, Snowy mountain เป็นต้น
น้ำแร่ซัลเฟต (Sulfate water) มีปริมาณ ซัลเฟต> 200 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ โดยเฉพาะในคนที่ท้องผู้กเรื้อรัง เนื่องจาก น้ำแร่ซัลเฟตมีผลแรงดันออสโมติคและ ช่วยกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนซีซีเค (CCK) เนื่องจากซัลเฟตมีผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ
ตัวอย่างของน้ำแร่ชนิดนี้ได้แก่ น้ำแร่ยี่ห้อ Pi water เป็นต้น
น้ำแร่ซัลเฟต-ไบคาร์บอเนต (Sulfate-bicarbonate waters) ใช้รักษาภาวะที่การทำงานของถุงน้ำดีผิดปกติ, นิ่วในถุงน้ำดี, อาการหลังผ่าตัดถุงน้ำดี
น้ำแร่ซัลเฟอร์, เกลือ-ไอโอดีน, เกลือ-โบรมีน-ไอโอดีน (Sulfurous, salt-iodine, salt-bromine-iodine waters) มักใช้กับอวัยวะภายนอกร่างกาย เช่น การอาบ หรืออาจใช้ สูดพ่นทางทางเดินหายใจบ้าง บรรเทาอาการอักเสบของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง และบรรเทาอาการทางผิวหนังบางชนิด
น้ำแร่ซัลเฟอร์และไบคาร์บอเนต (Sulfurous and bicarbonate waters) ใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน โดยจะลดระดับน้ำตาล อาการกระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย และช่วยลดความต้องการอินซูลิน นอกจากนี้น้ำแร่ไบคาร์บอเนต ยังช่วยลดภาวะเลือดเป็นกรดในผู้ป่วยเบาหวานได้
น้ำแร่คลอรีน (น้ำเกลือ) (Chlorinated water (salt water) มีปริมาณคลอไรด์> 200 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของลำไส้และการหลั่งสารที่เกี่ยวข้องกับน้ำและอิเล็กโตรไลท์, กระตุ้นการหลั่งน้ำดี, บรรเทาอาการท้องผูก
น้ำแร่แคลเซียม (calcium water) มีปริมาณแคลเซียม> 150 มิลลิกรัมต่อลิตร น้ำแร่ที่มีแคลเซียมในปริมณมากเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีความต้องการแคลเซียมในปริมาณมากกว่าคนปกติ เช่น เด็ก หญิงตั้งครรภ์ สตรีสัยหมดประจำเดือน ผู้สูงอายุ และจากการวิจัยไม่นานมานี้ พบว่า แคลเซียมอาจช่วยป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย
ตัวอย่างของน้ำแร่ชนิดนี้ได้แก่ น้ำแร่ยี่ห้อ Evian, Badoit เป็นต้น
น้ำแร่แมกนีเซียม (Magnesium water) มีปริมาณแมกนีเซียม > 50 มิลลิกรัมต่อลิตร การมีแมกนีเซียมในน้ำแร่สูงจะช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำดี เนื่องจากมีผลในการทำให้ Oddi sphincter คลายตัว
น้ำแร่ฟลูออเรด(Fluorate water) มีปริมาณฟลูออไรด์ > 1 มิลลิกรัมต่อลิตร
น้ำแร่เหล็ก(Ferrous water) มีปริมาณเหล็กเฟอรัส > 1 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยบรรเทาอาการในภาวะโลหิตจากที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก และใช้ในภาวะไฮโปธัยรอยด์
น้ำแร่โซเดียม(Sodium water) ปริมาณ โซเดียม> 200 มิลลิกรัมต่อลิตร
น้ำแร่เกลือต่ำ(Low-salt water) ปริมาณ โซเดียม < 20 มิลลิกรัมต่อลิตร
น้ำแร่คาร์บอร์นิค (Carbonic waters) มักใช้ในการอาบ และบรรเทาอาการของหลอดเลือดส่วนปลาย
วิธีดื่มน้ำแร่ ควรทำอย่างไร ?
วิธีดื่มน้ำแร่แบ่งได้ 2 วิธี คือ
1. การดื่มน้ำแร่ปริมาณมากในระยะเวลาสั้นๆ (Water loading) คือ การดื่มน้ำปริมาณ 1 ลิตร ภายใน 30 นาที ขณะท้องว่าง ซึ่งการดื่มน้ำแร่วิธีนี้จะใช้กับน้ำแร่ชนิดที่หวังผล เช่น เพื่อขับนิ่วออกจากร่างกาย วิธีนี้ไม่ควรดื่มก่อนนอน เนื่องจากจะทำให้ต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำในช่วงกลางคืน
2. การดื่มแบบทยอยในปริมาณไม่สูง (Subdivided doses) คือ การดื่มน้ำแร่ปริมาณ 500 มิลลิลิตร และ ตามด้วยน้ำแร่ 10 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยจิบน้ำครั้งละน้อยขณะอ่อนเพลีย หรือขณะเดิน หรือพร้อมมื้ออาหาร
สำหรับนักกีฬา ควรดื่มน้ำแร่ที่มีปริมาณเกลือแร่น้อยถึงปานกลาง ตลอด 2 ชั่วโมงก่อนการแข่งขัน โดยดื่ม 100-150 มิลลิลิตร ทุก 15-20 นาที และดื่ม 400-500 มิลลิลิตร 15 นาทีสุดท้ายของชั่วโมงที่ 2 หลังการอบอุ่นร่างกาย ระหว่างการแข่งขัน ควรดื่ม 200-250 มิลลิลิตร ทุก 15-20 นาที โดยปริมาณของเหลวที่ดื่มเข้าร่างกายหลังแข่งขันหรือเล่นกีฬานั้น ควรมีปริมาณร้อยละ 150 ของน้ำหนักตัว ซึ่งปริมาณของเหลวที่บริโภคโดยทั่วไป คือ 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
ใครไม่ควรดื่มน้ำแร่ ?
ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ประโยชน์จากน้ำแร่ หากดื่มไปโดยไม่ระวังอาจเป็นผลเสียต่อร่างกายได้ แล้วใครกัน...ที่ไม่ควรดื่มน้ำแร่?
ชนิดของน้ำแร่ ผู้ที่ไม่ควรดื่มน้ำแร่
น้ำแร่ ผู้ที่บวมน้ำ ผู้ป่วยโรคไต ผู้ที่มีการทำงานของหัวใจไม่ดี
น้ำแร่ที่มีปริมาณโซเดียมสูง ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
น้ำแร่เกลือโซเดียมคลอไรด์ (Sodium chloride waters) ผู้ที่มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารปริมาณมาก แผลในกระเพาะอาหารและความดันโลหิตสูง
น้ำแร่ซัลเฟอร์ (Sulfurous waters) ผู้ป่วยที่มีโรคทางระบบทางเดินหายใจที่มีภาวะหลอดลมหดเกร็ง
น้ำแร่ไบคาร์บอเนต (Bicarbonate waters) ผู้ป่วยที่มีภาวะ gastric hypochilia
น้ำแร่ซัลเฟต (Sulfate waters) ผู้ป่วยที่มีโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารและมีแผลในทางเดินอาหาร
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิยาลัยมหิดล

สะอาดเกินไปใช่ว่าจะดี



การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่รุนแรงในการล้างห้องน้ำ ถูพื้น หรืออะไรก็ตามแต่นั้นอาจจะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และน้ำยาที่แรงเกินไปจะทำให้เป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น
เนื่องจากภูมิต้านทานโรคของร่างกายจะไวกับสิ่งแปลกปลอม การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อบ่อยๆ เชื้อแบคทีเรียจะเคยชินกับน้ำยา ก็เหมือนกับที่ร่างกายของเราดื้อยาปฏิชีวนะนั่นเอง การทำความสะอาดพื้นและสิ่งสกปรกใช้เพียงผงซักฟอกก็เพียงพอ หาจะทำความสะอาดในห้องครัวหรือห้องน้ำก็เลือกใช้น้ำส้มสายชูผสมในอัตราส่วน (น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำ 1 ลิตร ก็เพียงพอแล้ว)

ฝึกสมองให้ช่วยลดน้ำหนัก



การลดน้ำหนักหรืออดอาหารไม่ใช่เรื่องที่ง่าย ยิ่งสำหรับบางคนมันเป็นความท้าทายที่หนักหนาสาหัสอย่างมากสำหรับร่างกายและจิตใจของตัวเองในการที่จะลดอาหาร ลดไขมัน รวมไปถึงการควบคุมปริมาณแคลลอรี่ที่บริโภคเข้าไป

มีงานวิจัยชิ้นใหม่ที่บ่งชี้ว่า สำหรับการลดความอ้วนของคนที่เป็นโรคอ้วนหรือมีภาวะน้ำหนักเกินนั้น วิธีที่ใช้จะไม่เป็นเพียงแค่การควบคุมเพียงอย่างเดียว ยังจะต้องทำการฝึกสมองให้มีปฏิกริยาตอบสนองต่ออาหารที่จะรับประทานเข้าไปรวมถึงปัจจัยแวดล้อมต่างๆที่มีผลต่อความอยากอาหารอีกด้วย

นักจิตวิทยาคลินิกและนักวิจัยโรคอ้วนที่ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยในชิคาโกกล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการลดน้ำหนักด้วยวิธีลดปริมาณและชนิดของอาหาร คือต้องควบคุมสิ่งกระตุ้นทั้งจากภายในและภายนอก โดยจะต้องพยายามฝึกจิตใจและสมองให้ควบคุมพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความรู้สึกหิว รวมถึงปฏิกิริยาตอบสนองต่ออาหารต่างๆเพื่อควบคุมความอยากที่เกิดขึ้น โดยการสังเกตว่ามีพฤติกรรมหรือปัจจัยใดเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกหิว ทั้งนี้เพื่อเป็นการทำให้สมองเรารับรู้และจำจดว่าสิ่งไหนควรกินเข้าไปหรือไม่ควรในขณะที่กำลังลดน้ำหนัก

ในงานวิจัยที่ตีพิมพ์ลงใน Journal of the American Dietetic Association หรือวารสารสมาคมโภชนาการของอเมริกาได้กล่าวถึงกระบวนการในสมองที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนคือ มักจะให้อาหารเป็นรางวัลกับตัวเอง หรือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตคือการรับประทานอาหาร ไม่สามารถควบคุมหรือยับยั้งปริมาณอาหารในการบริโภคเข้าไปได้ และอย่างสุดท้ายคือมักจะมีความสุขมากๆ เวลาบริโภคอาหารประเภทไขมันซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าวกับตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพที่สุด

นักวิจัยได้แนะนำวิธีที่จะช่วยฝึกสมองเพื่อการลดน้ำหนักดังนี้
หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีไขมันสูงทั้งที่บ้านและที่ทำงาน
กำหนดรายการอาหารเพื่อสุขภาพเวลาที่ไปจับจ่ายซื้อของ หรือซื้อของเพื่อสุขภาพจากร้านค้าออนไลน์บ้าง เพื่อลดแรงกระตุ้นจากสิ่งอื่นๆเวลาไปเดินเลือกซื้อของเอง
จัดการกับปัญหาความเครียดของตัวเอง ซึ่งจะเป็นสาเหตุของการกินที่มากเกินไปได้
หาแรงจูงใจหรือเหตุผลในการลดน้ำหนักและเตือนตัวเองเป็นระยะ เพื่อให้สมองได้จดจำและเริ่มเรียนรู้เป้าหมายที่จะลดน้ำหนัก
หลีกเลี่ยงการกินอาหารแบบบุฟเฟ่ต์

10 อาหารเช้าที่ให้พลังงาน



อาหารเช้าถือเป็นหนึ่งมือสำคัญ ที่ต้องรับประทาน เพื่อที่จะได้พลังงาน ไว้เผาพลาญในการใช้ชีวิต วันนี้วอยซ์ ทีวี มี 10 อาหารเช้าที่ให้พลังงานมานำเสนอ
1.ไข่
เพราะไข่ให้พลังงานสูง และมีแคลอรี่ รวมทั้งมีสารอาหารที่สำคัญมากกว่า 13 ชนิด รวมไปถึงวิตามินและสังกะสี และช่วยระบบคุ้มกัน และการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ
2.ข้าวโอ๊ตบด
ข้าวโอ๊ตถือว่ามีวิตามินและแร่ธาตุ รวมทั้งเส้นใยโปรตีน และให้พลังงานอย่างสูง และยังช่วยในเรื่องความจำ
3.เนยถั่ว
เนยถั่วทำจากถั่วเช่นอัลมอนด์เม็ดมะม่วงหิมพานต์และถั่วลิสงถือว่าเต็มไปด้วยวิตามินอีโปรตีนแมกนีเซียมแคลเซียมและโพแทสเซียม หากใครที่กังวลในเรื่องไขมัน เนยถั่วนั้นช่วยคุณได้ นอกจากนั้นในเนยถั่วยังมีไขมันดีอีกด้วย
4. ขนมปังโฮลเกรน
เป็นธัญพืชที่ช่วยสร้างความมั่นคงระดับน้ำตาลในเลือดและเติมเต็มคุณไปจนถึงอาหารมื้อต่อไป
5.ผักใบเขียว
ผักโขม,ผักคะน้า หรือผักใบเขียวชนิดอื่นๆ ทั้งหมดนี้ถือว่ามีเส้นใยอาหาร เกลือแร่,สารต้านอนุมูลอิสระ ไปจนกระทั่งถึงวิตามิน
6.ผลไม้
โดยทั่วไปแล้วผลไม้นั้นเต็มไปด้วยใยอาหาร (ลูกแพร์, แอปเปิ้ล, เบอร์รี่, และ กีวี), ขณะที่พวกที่มีวิตามิน ซีก็คือ (มะละกอ, ส้ม),ส่วนผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระต้านโรค (สตรอเบอร์รี่, บลูเบอร์รี่ และ blackberries) ทางด้าน กล้วย ก็มี เซลล์และโปแตสเซียมที่สร้างกล้ามเนื้อ
7.เมล็ดถั่ว
ถั่วและเมล็ดเมล็ดฟักทอง นั้นมีส่วนโปรตีนวิตามินอีและกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ทำหัวใจแข็งแรง รวมถึงไขมันโอเมก้า 3
8.โยเกิร์ต
ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้เห็นการโยเกิร์ตปรุงอาหาร แต่โยเกิร์ตนี่แหละเป็นแหล่งที่ดีของแคลเซียมและโปรตีน
9.เนื้อสัตว์บางๆ
ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ให้พลังงานในยามเช้า นอกเหนือจากไข่
10.ชีส มอซซาเรลล่า
เป็นเนยแข็งที่ไขมันต่ำแถมยังให้โปรตีนและแคลเซียมสูง
Produced by VoiceTV

วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555

พยาธิ เรื่องเชยๆ ในวันวาน ก่อเป็นมะเร็งร้ายในวันนี้


ย้อนหลังไปเมื่อ 30 ปีก่อนคนไทยยังไม่มีส้วมซึมใช้กันเกือบทุกครัวเรือน ครั้งนั้นภาครัฐรณรงค์ให้ประชาชนหันมาสร้างส้วมเพื่อสุขอนามัย บริโภคอาหารสุกทุกครั้ง เหล่านี้เป็นปราการอย่างดีชั้นหนึ่งที่ป้อง กันพยาธิเข้าสู่ร่างกาย จนมาถึงยุคปัจจุบันคนไทยมีสุขอนามัยที่ดีขึ้น พยาธิอาจถูกมองเป็นเรื่องเฉิ่มเชย และน่าอายไป แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าบาง พยาธิ สิ่งมีชีวิตประเภท ปรสิตนี้ เมื่อแฝงเร้นอยู่ในร่างกายนั้นหมายถึงชีวิตกำลังถูกคุกคามด้วยโรคภัย พยาธิก่อโรคในคนจำแนกออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ได้แก่ พยาธิตัวกลม (Nematodes) ลักษณะมีรูปร่างทรงกระบอก ห้วท้ายเรียวแหลม อาทิ พยาธิเส้นด้าย หรือเข็มหมุด (มีไข่พยาธิระยะติดต่อติดอยู่ที่ มือ และไข่พยาธิอาจหลุดมาติด ที่เสื้อผ้า และเครื่องใช้ต่าง ๆ และเข้าสู่ปากคน เกิดความรำคาญขณะที่ พยาธิออกมาวางไข่ ที่ปากทวารหนัก ตัวพยาธิอาจเข้าทางช่องคลอด ทำให้ปากมดลูกอักเสบ)
พยาธิตัวจี๊ด (อาจจะเกิดหลังจากได้รับเชื้อไปแล้ว 24 ชั่วโมง อาการแรกจะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้ คลื่นไส้ สาเหตุอาจเกิดจากรับประทานอาหารดิบ ๆ หรือดิบ ๆ สุก ๆ โดยเฉพาะปลาน้ำจืด เช่น ส้มฟัก กบยำ ปลาดุกย่างไม่สุก) พยาธิไส้เดือน (มักจะเกิดกับ เด็กนำเอามือที่ปนเปื้อนดิน และมีไข่พยาธิเข้าปาก อาจจะ ทำให้เกิดไข้ ไอ หายใจแน่น หอบ เหนื่อย เสมหะอาจจะมีเลือดปน บางคนอาจจะเกิดลมพิษ อาการเหล่านี้มักจะเกิดภายหลังจากได้รับไข่พยาธิ 4-16 วัน)
พยาธิตัวตืด หรือพยาธิ ตัวแบน (Cestodes) ลักษณะลำตัวจะแบน แบ่งเป็นปล้อง ๆ ชนิดที่พบในประเทศไทย คือพยาธิตืดหมู พยาธิตืดวัว ผู้ป่วยได้รับพยาธิได้ง่ายจากการบริโภคอาหารดิบหรือปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ จากเนื้อหมูและเนื้อวัว
พยาธิใบไม้ (Trematodes) ลำตัวมีลักษณะแบนไม่เป็นปล้อง เช่น พยาธิใบไม้ในเลือด พยาธิใบไม้ในตับ เกิดจากการบริโภคอาหารประเภทปลา และสัตว์น้ำจืดในลักษณะดิบหรือปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ ผศ.นพ.กำธร มาลาธรรม หัวหน้าหน่วยโรคติดเชื้อโรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า คนไข้ที่มีพยาธิอยู่ในตัวส่วนใหญ่จะมาพบแพทย์เมื่อมีอาการตัวซีด หรือปวดท้องอย่างรุนแรง เมื่อตรวจอุจจาระจึงพบว่ามีพยาธิ พยาธิแต่ละตัวแสดง ออกทางอาการต่างไป เช่นพยาธิไส้เดือนซึ่งเป็นพยาธิตัวใหญ่ ถ้ามีเยอะอุดตันลำไส้ ถ้ามีน้อย แค่แย่งอาหารเฉย ๆ ร่างกายอ่อนแอ ผอมแห้งแรงน้อย บางคนอาจมีอาการซีด
นอกจากนี้ยังมีพยาธิปากขอ สามารถแพร่กระจายไปทั่ว ตัวในคนที่มีภูมิต้านทานอ่อนแอ หรือคนกินยา เช่น สเตียรอยด์ พยาธิกระจายไปทั่วตัว ในปอดก็เป็นปัญหา สามารถนำเอาเชื้อแบคทีเรียจากลำไส้สู่ร่างกาย เกิดอาการไข้สูง ทำให้คนไข้ช็อกได้ นายแพทย์กำ บอกอีก ว่ายังมีพยาธิที่อันตรายอีก 2 ตัวคือ พยาธิตัวจี๊ด พยาธิหอยโข่ง พยาธิชนิดนี้ไม่ได้อาศัยอยู่ในคน ได้มาจากการกินอาหาร ไม่สุก ไม่สะอาด กินอาหารพวก กบ ปลา อย่างพยาธิตัวจี๊ด เมื่อสุนัขหรือแมวไปกินปลาที่มีตัวจี๊ดจะไม่เป็นอันตราย แต่ยังอยู่ในกระเพาะของหมาแมวเป็นที่อยู่ปกติ แต่ถ้ามาอยู่ในร่างกายของคน จะไชไปที่ไขสันหลัง สมอง ทำให้มีเลือดออกในสมอง ขณะที่เข้าไปอวัยวะอื่นไม่อันตรายมาก เพราะสมองมีพื้นที่น้อย
แต่ถ้าอยู่ในกล้ามเนื้อ แสดงอาการออกมาแค่เนื้อตุ่ย ๆ ในรายที่มีปัญหามาก คือเข้าสู่สมอง ทำให้เกิดอาการชัก หรือ การปวดศีรษะเรื้อรัง คนอีสานมีวัฒนธรรมการบริโภคอาหารดิบ ๆ สุก ๆ มาช้านาน มีเมนูจานเด็ด ลาบ ก้อย ทั้งหลาย อาหารเหล่านี้นำพยาธิมาสู่ร่างกาย และที่ร้ายแรงยิ่งกว่า พยาธิตัวเล็ก ๆ หากฝังตัวใน ร่างกายเนิ่นนาน อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคมะเร็ง รองศาสตราจารย์ ดร. บรรจบ ศรีภา อาจารย์ประจำภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ และศูนย์วิจัยพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี มหา วิทยาลัยขอนแก่น ระบุว่าโรคติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับและมะเร็ง ท่อน้ำดี ยังเป็นโรคที่เป็นปัญหาสำคัญของสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประชากร 9.6 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 6 ล้านคน ติดเชื้อนี้ จากหลักฐานทางระบาดวิทยาและการศึกษาในสัตว์ทดลอง มีข้อมูลที่สนับสนุนว่าการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งในภูมิภาคนี้ ที่สำคัญอุบัติการณ์มะเร็งตับและท่อน้ำดีในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในจังหวัดขอนแก่น มีสูงถึง 97.4 คน และ 39 คนต่อประชากร 1 แสนคน มีผู้ ชายมากกว่าผู้หญิงในวัยที่อายุ 35 ปีขึ้นไป
อย่างไรก็ตามในประเทศไทยโรคมะเร็งตับและท่อน้ำดี ยังเป็นโรคในกลุ่มที่ทำให้เกิด
ภาระโรค มากที่สุด 5 อันดับแรก รองลงมาจากโรคเอดส์ โรคจากอุบัติเหตุ และโรคหัวใจ ตัวเลขของผู้ป่วยมะเร็งตับท่อน้ำดีของประเทศไทย สูงที่สุดในโลกขณะนี้ เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดศูนย์วิจัยพยาธิใบไม้ตับและมะเร็ง ท่อน้ำดี ม.ขอนแก่น พัฒนามาจากกลุ่มวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี คณะแพทยศาสตร์ ซึ่งเริ่มต้น ในปลาย พ.ศ. 2539 จากการรวมตัวของคณาจารย์ 4-5 คน ที่มีเจตจำนงที่จะร่วมกันศึกษาวิจัยปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ดร.บรรจบ บอกอีกว่า พยาธิใบไม้ตับที่นำไปสู่มะเร็ง เกิดจากพฤติกรรมบริโภคอาหารของคนภาคอีสานเอง ที่ยังไม่ค่อยเห็นความสำคัญ ประกอบกับภาครัฐขาดการรณรงค์เรื่องนี้ไปนานนับสิบปี คนอีสานนิยมรับประทานก้อยปลาโดยปรุงด้วยการใส่พริก เกลือ มดแดง ปลาเมื่อเจอเครื่องปรุงมีสีซีดชาวบ้านคิดว่าสุก แต่แท้จริงยังมีพยาธิแฝงอยู่ พยาธิใบไม้จะอยู่ในปลา น้ำจืดที่มีเกล็ด พยาธิช่วงนี้ยัง เป็นตัวอ่อน เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเดินทางเข้าสู่ตับ โดยผ่านทาง รูเปิดท่อน้ำดีนอกตับบริเวณลำไส้ส่วนต้นภายในเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง หลังการรับประทานอาหาร
นอกจากนี้ไข่พยาธิที่ปะปนมากับอุจจาระที่ไม่ถ่ายในส้วม เมื่อไหลลงสู่แหล่งน้ำจะ ถูกเก็บกินโดย หอยไซ ตัวอ่อนจะเจริญในหอยจนครบ 1 เดือน ก็จะแหวกว่ายไปเกาะบนผิว ปลามีเกล็ด เช่น ปลาตะเพียน ปลาขาวนา ปลาสูด เป็นต้น จนพัฒนาเป็นตัวอ่อนพยาธิ ระยะติดต่อ ในเนื้อปลา เมื่อ รับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เข้าไป จะพัฒนาเป็นตัวแก่ในท่อน้ำดีและออกไข่ เป็นวัฏจักร ซึ่งพยาธิใบไม้ตับจะมีอายุอยู่ได้นานหลายปี การติดเชื้อพยาธิใบไม้ ตับซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง จะทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงเป็นช่วง ๆ ตามหลังการติดเชื้อแต่ละครั้ง นำไปสู่การเกิดภาวะการทำลายสารพันธุกรรมของเซลล์ท่อน้ำดีสะสมมากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าสารคัดหลั่งจากพยาธิเพียงอย่างเดียว ก็สามารถกระตุ้นให้เซลล์เยื่อบุท่อน้ำดีแบ่งตัวได้มากขึ้น ดังนั้นเซลล์ที่มีสารพันธุกรรมผิดปกติก็จะถูกกระตุ้นให้แบ่ง ตัวมากขึ้น และนำไปสู่การเกิดมะเร็งท่อน้ำดีในที่สุด โรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะในประเทศไทยแต่เป็นปัญหาในระดับภูมิภาคเอเชีย ดังนั้นนักวิจัยในประเทศที่มีการระบาดของโรคนี้ คือ จีน ลาว เวียดนาม กัมพูชา เกาหลี และ ไทย จึงรวมตัวกันเป็นเครือข่ายวิจัยโรคพยาธิใบไม้ตับภูมิภาค เอเชีย เพื่อหาแนวทางวินิจฉัย รักษา และป้องกัน ระหว่างวันที่ 16-19 ต.ค.นี้
มะเร็งตับและท่อน้ำดีในภาคอีสาน ณ เวลานี้ไต่สถิติไปที่ที่สูงที่สุดในโลก อันเป็นสถิติที่ไม่น่ายินดีแม้แต่น้อย.

ทำไม ยาคูลท์ถึงมีแต่ขนาด 80 ซีซี ?


เพราะยาคูลท์เป็นผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวที่ได้จากการหมัก โดยเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นแบคทีเรียชื่อ แลคโตบาซิลลัส ที่ทำให้เกิดรสชาติเปรี้ยวเนื่องจากเกิดกรดขึ้นมาหลายชนิดระหว่างกระบวนการหมัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกรดแลคติก ปัจจุบันใช้เชื้อชื่อ Lactobacillus Balgaricu ร่วมกับ Stroptococcus themophilus ในอุตสาหกรรมผลิตนมเปรี้ยวและโยเกิร์ตโดยปกติธรรมชาติแล้ว จุลินทรีย์ชนิดนี้มีอยู่แล้วตามทางเดินอาหารของคนเรา และเป็นจุลินทรีย์ที่ดีมีประโยชน์ ช่วยทำให้เกิดกระบวนการย่อยและ หมักในทางเดินอาหารในส่วนที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถจะย่อยได้จุลินทรีย์กลุ่มนี้จะคอยช่วยเหลือ แต่ถ้ามีจำนวนมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายต่อเราได้เช่นเดียวกัน คืออาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ เพราะจุลินทรีย์ผลิตกรดขึ้นมา ซึ่งเป็นผลทำให้ยาคูลท์ผลิตขนาดเดียว คือ 80 ซีซี ที่พอเหมาะกับปริมาณของเชื้อแลคโตบาซิลลัส โดยจะสังเกตข้างขวดที่เขียนไว้ว่า มีปริมาณเชื้อแลคโตบาซิลลัส 8.0x10 ( ยกกำลัง 9 ) ถ้าทำยาคูลท์ให้มีขนาดขวดใหญ่พอๆ กับยาคูทล์ 6 ขวดเล็กรวมกันแล้วละก็ คงไม่ดีต่อผู้บริโภคแน่ เพราะจะทำให้ได้รับปริมาณเชื้อแลคโตบาซิลลัสมากเกินพอ หรือถ้าจะทำขนาด 450 ซีซี ขึ้นมาจริงๆ แล้ว ลดปริมาณแลคโตบาซิลลัสลงอาจจะทำได้ แต่เชื่อแน่ว่ารสชาติของยาคูลท์อาจจะเปลี่ยนไปไม่อร่อยเหมือนเคยและถ้าหากเราทานยาคูลท์วันละ 6 ขวด เพื่อความอร่อยแต่อาจเกิดโทษขึ้นได้ ทานวันล่ะขวดก็เพียงพอแล้ว คนที่ไม่ทานเลยก็ไม่เป็นอะไร เพราะว่าในร่างกายของเรามีจุลินทรีย์ชนิดนี้อยู่เรียบร้อยแล้ว อีกเรื่องที่ควรสังเกต เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่บริโภคยาคูลท์ก็คือ อย่าลืมดูวันหมดอายุข้างขาดและเลือกซื้อจากตู้แช่ที่เก็บไว้ใน อุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส เพราะจะทำให้ได้จุลินทรีย์ที่พร้อมจะทำงานให้เราได้ทันทีค่ะ..

ลดอาหารด้วยจานแดง


ผู้ที่อยากควบคุมอาหารจานหลัก ลองใช้ภาชนะใส่อาหารที่เป็นสีแดงช่วยให้ทานน้อยลงได้
นักวิจัยชาวสวิสพบว่า ผู้ที่ใช้จานสีแดงใส่อาหารรับประทานจะทานได้น้อยกว่าผู้ที่ใช้จานสีฟ้าหรือสีขาว นอกจากนั้นยังดื่มน้ำอัดลมในแก้วสีแดงน้อยลง 44 เปอร์เซนต์ด้วย
นักวิจัยอธิบายว่า เพราะสีแดงถูกใช้เป็นสีหรือสัญลักษณ์ของ "สิ่งอันตราย" หรือ "ป้ายห้ามกระทำการต่างๆ" จึงมีส่วนทำให้ร่างกายรับประทานอาหารบนภาชนะดังกล่าวน้อยลงโดยอัตโนมัติ

มารู้จัก...ดินสอพองกัน


เด็กรุ่นใหม่ที่อายุต่ำกว่า 30 ปีลงมา น้อยคนที่จะรู้จัก"ดินสอพอง" ยกเว้นพวกที่เกิดอยู่กับถิ่น หรือแหล่งผลิตดินสอพองจึงต้องขอความรู้ จากนายสมศักดิ์ โพธิสัตย์อดีตอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี ซึ่งท่านได้กรุณาเขียนบทความเผยแพร่ให้ความรู้ดังนี้
อันที่จริงดินสอพองนับว่าเป็นสิ่งคู่บ้านคู่เมืองของไทยมาแต่ดั้งเดิมก็ว่าได้ คนไทยสมัยก่อนใช้ดินสอพองเป็นแป้งทาตัวให้เย็นสบายคลายร้อนโดยใช้ผสมน้ำอบไทยและนำมาปะเล่นในเทศกาลสงกรานต์หรือนำมาสะตุพร้อมกับเครื่องหอมแล้วนำไปอบทำแป้งกระแจะไว้ทาตัวได้ทุกโอกาส ก่อนที่จะมีแป้งฝุ่นซึ่งผลิตมาจากแร่ทัลค์ (Talc) บดละเอียดมาแทนที่ เพราะลื่นและเนียนมือกว่า นอกจากนั้นชาวบ้านในพื้นที่ ยังนำมามักเกลือใช้พอกไข่เป็ดทำไข่เค็มขายกันมานานแล้ว และยังใช้เป็นตัวเชื่อมขี้เลื่อยในการปั้นธูปด้วย ปัจจุบันมีผู้นำดินสอพองมาจากใช้พองหน้าเพื่อให้หน้าตึง ซึ่งก็จริงเพราะดินสอพองเมื่อแห้งแล้วจะหดตัวแต่ควรกรองเอาเฉพาะเนื้อดินละเอียดแล้วนำไปสะตุเพื่อฆ่าเชื้อโรค และอาจผสมสมุนไพรบางชนิดเป็นสูตรผสมต่าง ๆ ใช้เป็นเครื่องประทินโฉมราคาถูกและทำได้เอง
มักจะมีคำถามว่าทำไมจึงเรียกดินสอพองทั้งที่ไม่ได้ใช้ทำไส้ดินสอและทำไมจึงมีคำว่าพองต่อท้าย คำว่า "ดิน" คงไม่ต้องอธิบาย คำว่า "สอ"หมายถึงสีขาวก็ได้ หรือใช้เป็นวัสดุเชื่อม หรือโบกก็ได้ เช่นนำไปสออิฐหรือสอปูน ซึ่งเป็นคำโบราณคือใช้เป็นวัสดุที่ใช้ก่ออิฐให้ติดกันนั้นเอง แต่ก็ไม่เรียกว่า "ดินขาว" ซึ่งเป็นดินเกาลิน(kaolin)หรือไชน่า เคลย์ (China clay) ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเซรามิคส์ และก็ไม่เรียกว่า "ปูนขาว" เพราะปูนขาวคือหินปูน (CaCO3)ที่ถูกเผาเอาคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ออกไป (CO2) ส่วนคำว่า "พอง" ก็บ่งบอกคุณสมบัติของดินสอพองเอง ว่าเมื่อนำไปแช่น้ำหรือหยอดน้ำใส่แล้วดินชนิดนี้จะพองตัวขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจน เมื่อบีบมะนาวซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดใส่ลงไป เนื่องจากเกิดปฏิกิริยาแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นฟองฟูขึ้นและดินพองตัว
ดินสอพองภาษาธรณีวิทยาเรียกว่า ดินมาร์ล (Marl) ก็คือหินปูนผุนั้นเอง จึงมีส่วนประกอบเหมือนกัน คือแคลเซียมคาร์บอนเนต (CaCo3) อยู่ร้อยละ 50 - 80 ส่วนประกอบอื่น ๆ คือแร่ซิลิกา ( SiO2)และอื่นๆ มีเนื้อละเอียดมากหากนำมาละลายน้ำหรือหมักไว้แล้วเอาไปกรองจะมีเนื้อละเอียดขนาด -325 เมซ (Mesh) ถึงร้อยละ 40 - 50 โดยน้ำหนัก
ประโยชน์ดินสอพองในด้านอุตสาหกรรม นับว่ามีบทบาทสำคัญยิ่งในอุตสาหกรรมซีเมนต์ ตั้งแต่ประเทศไทยได้มีการผลิตปูนซีเมนต์ โดยบริษัทปูนซีเมนต์แห่งหนึ่งที่ตั้งกว่ามา 100 ปี โดยใช้ดินสอพองจากแหล่งดินสอพอง ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.ลพบุรี และแหล่ง อ.บ้านหมอ อ.ท่าหลวง และ อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี เป็นวัตถุดิบในการผลิตปูนซีเมนต์โดยวิธีเปียก (Wet Process)หรือโดยนำมาเผาไล่น้ำหรือความชื้นออกก่อนโดยใช้ฟืนซึ่งในสมัยนั้นถ้านั่งรถไฟผ่านโรงปูนซีเมนต์บางซื่อจะเห็นควันขาวของไอน้ำ ลอยออกจากป่องอ้วนและเตี้ยตลอดเวลา ก่อนที่จะเลิกใช้ดินสอพองและฟืนหันมาใช้ก๊าซธรรมชาติ จากอ่าวไทยแทนฟืน และใช้หินปูนแทนดินสอพองทีเรียกว่าผลิตโดยวิธีแห้งหรือ Dry Process เมื่อประมาณ 30 ปีเศษเป็นต้นมา
ดินสอพองได้มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการเกษตรกรรมมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้ แต่นับว่าเป็นภูมิปัญญาของคนไทยแต่โบราณที่นำดินสอพองไปใช้แก้ดินเปรี้ยวหรือดินที่มีฤทธิ์เป็นกรดในนาข้าว ไร่ข้าวโพด ข้าวฟ่าง หรือสวนผลไม้ เนื่องจากเป็นดิน ที่มีซัลเฟตสูง เช่นดินพรุ ซึ่งมีความเป็นกรดจัด คือมีค่า pH4 หรือต่ำกว่าจะทำให้เมล็ดข้าวลีบและผลผลิตต่ำ หรือดินที่ใช้ปุ๋ยเคมีมานานจะทำให้ดินเปลี่ยนสภาพเป็นดินแข็งมีความเป็นกรดสูงขึ้นมากเช่นกัน เกษตรกรที่ประสบปัญหานี้ ก็จะใช้ดินสอพองไปโรยเพื่อปรับค่าความเป็นกรดของดิน ให้เป็นกลางเนื่องจากดินสอพองมีฤทธิ์เป็นด่าง ซึ่งต่อมากรมพัฒนาที่ดิน เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ได้มีการส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ดินสอพองปรับแก้ดินเปรี้ยวเพื่อเพิ่มผลผลิต
แหล่งดินสอพองในประเทศไทย แหล่งใหญ่ ๆ มีอยู่ที่บริเวณตีนเขาหินปูน โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดลพบุรี และจังหวัดสระบุรี ดังได้กล่าวมาแล้ว นอกจากนั้นก็ยังพบอีกหลายแห่ง เช่นอ.เมือง,อ.ท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี,อ.ตาคลี จังหวัดนครสวรรค์, อ.แม่ทะและแม่เมาะ จังหวัดลำปาง,จ.เพชรบูรณ์และอีกหลายแห่งที่มีภูเขาหินปูน
น่าเสียดายที่ภูมิปัญญาของไทยด้านการใช้ดินสอพองในการแก้ดินเปรี้ยวได้ถูกละเลยทั้งๆ ที่เป็นวัตถุดิบราคาถูกใช้ได้ผลดีมาก อย่างน้อยก็ควรสนับสนุนให้เกษตรกรในพื้นที่ ที่มีแหล่งดินสอพองและใกล้เคียงได้มีความรู้เรื่องการแก้ดินเปรี้ยว ด้วยดินสอพองมากกว่าที่จะปล่อยให้เกษตรกรไปใช้หินปูนบดหรือโดโลไมต์บด และสารเคมีต่างๆ ที่ผลิตขายในเชิงพาณิชย์และเป็นเหยื่อการโฆษณา โดยละเลยภูมิปัญญาของบรรพชนไทยอย่างสิ้นเชิง เมื่อเรารู้คุณค่าแล้วควรนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์จากสิ่งที่มีอย่างคุ้มค่าให้มากที่สุด

สนับสนุนข้อมูลโดย
สมาคมธรณีวิทยาแห่งประเทศไทย