วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

กินปลาสัปดาห์ละครั้ง ห่างไกล “อัลไซเมอร์“



ไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่มั้ยสำหรับการป้องกันตัวเองจากโรคอัลไซเมอร์ โดยที่ประชุมประจำปีของสมาคม Radiological Society of North America ออกมาเปิดเผยว่า
การกินปลาอบหรือนึ่งสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ เนื่องจากผลวิจัยพบว่าคนที่มีนิสัยกินปลาสัปดาห์ละครั้ง จะมีปริมาตรของเนื้อสีเทาในสมองมากกว่าคนปกติ ซึ่งส่วนนี้มีหน้าที่รับผิดชอบความจำเป็นและเรียนรู้ แต่ในขณะเดียวกันก็พบว่าปลาทอด ไม่ได้ทำให้เกิดผลใดๆ ต่อสมอง โดย ดร.ไซรัส ราชิ นักวิจัยจาก University of Pittsburgh ชี้ว่าโอเมก้า-3 ในปลาจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปยังสมอง ทำให้เซลสมองได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น และยังลดการอักเสบอันเชื่อกันว่าเป็นบ่อเกิดของอัลไซเมอร์ได้นั่นเอง



วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

เล่นไอแพดก่อนนอนส่งผลให้นอนหลับไม่สนิท



นักวิจัยออกมาเตือนว่า การเล่นไอแพดหรือสมาร์ทโฟนก่อนนอน มีผลโดยตรงต่อการนอน เพราะอาจทำให้นอนหลับไม่สนิท เนื่องจากแสงสีเงินบนหน้าจอไอแพด ไประงับการทำงานของสมอง ทำให้สมองหยุดหลั่งสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการนอนหลับ
หลายต่อหลายคนมักติดนิสัยใช้ไอแพด หรือแท็ปเล็ตในการเช็คอีเมล เล่นเฟซบุ๊ก หรือเล่นอินเทอร์เน็ตก่อนจะปิดไฟนอน ซึ่งนักวิจัยได้ออกมาเตือนว่า พฤติกรรมดังกล่าว อาจทำให้ส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ เนื่องจากแสงสีเงินบนหน้าจอไอแพดนั้น จะทำให้เกิดอาการนอนหลับไม่สนิท เนื่องจากสมองได้จดจำภาพของแสงสีเงิน และปรับการทำงานใหม่ ทำให้ร่างกายคิดไปเองว่า ยังคงเป็นเวลากลางวันอยู่
โดยนักวิจัยระบุว่า แสงสีเงินจะไประงับการทำงานของการผลิตสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการนอนหลับ และเมื่อสมองหยุดผลิตสารดังกล่าว ก็ทำให้การนอนหลับเป็นเรื่องที่ยากขึ้น แต่ในทางกันกันข้าม หากว่าหน้าจอของแท็ปเล็ตใดๆก็ตาม มีสีค่อนไปทางส้มหรือแดง ก็จะไม่กระทบต่อการผลิตสารเมลาโทนินแต่อย่างใด เนื่องจากสมองจะจดจำได้ว่า แสงดังกล่าว คล้ายกับแสงเวลาพลบค่ำ ซึ่งเป็นสัญญาณว่า ใกล้จะสิ้นสุดวันนั้นๆแล้ว
ก่อนหน้านี้ นักประสาทวิทยาเคยศึกษาวิจัยในเรื่องนี้มาแล้วหลายครั้ง พร้อมยืนยันว่า การชมโทรทัศน์ เล่นคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือก่อนนอนนั้น จะกระทบต่อการนอนหลับ และจะทำให้นอนหลับไม่สนิท แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การนำสมาร์ทโฟน ไอแพด หรือแท็ปเล็ตอื่นๆติดตัวเข้าไปในห้องนอนด้วยนั้น กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนทำจนเป็นนิสัย ทำให้นักวิจัยต้องหันมาศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยได้ออกมาเตือนว่า การใช้ไอแพดหรือแท็ปเล็ตต่อเนื่องมากกว่า 2 ชั่วโมงก่อนนอน จะยิ่งทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งวิธีการในการแก้ปัญหานี้ได้ดีที่สุด ก็คือการเลิกเล่น แต่หากว่าไม่สามารถทำได้ ก็ควรจำกัดเวลาการเล่นให้น้อยลง หรือพยายามให้ไอแพดหรือแท็ปเล็ต อยู่ไกลจากสายตามากกว่า 10 นิ้ว เพื่อลดปริมาณแสงสีเงินที่จะกระทบกับดวงตา
พร้อมกันนี้ ทีมนักวิจัยยังได้เสนอไปยังบริษัทผู้ผลิตแท็ปเล็ตทั้งหลายว่า ควรเริ่มต้นคิดค้นวิธีการลดแสงสีเงินที่หน้าจอลง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานในเวลากลางคืน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้ใช้งานนอนหลับสนิทมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการช่วยถนอมสายตาในระยะยาวอีกด้วย
by Sutthiporn

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

เทคนิคเรียนเก่ง ความจำดี


เพิ่มประสิทธิภาพการเรียน
หลักการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนหนังสือ 6 ประการซึ่งมีผู้นำไปปฏิบัติแล้วได้ผลดีมีดังนี้
1. สะสม(Gradual) เรียนอย่างค่อยเป็นค่อยไป สะสมวันละนิดไม่ใช่หักโหมก่อนสอบ
2. ทำซํ้า( Repetition) ทบทวน ท่อง และทำแบบฝึกหัดซํ้า ๆ
3. ย้ำรางวัล(Reinforcement) ควรให้รางวัลตัวเองเมื่อ ทำงานสำเร็จในแต่ละครั้งเพื่อให้ขยันขึ้น
4. ขยันคิด(Active Learning) จงใส่ใจคิดตามเสมออย่าฟังหรืออ่านไปเรื่อย ๆ
5. ฟิตปฏิบัติ(Practice) ต้องลงมือปฏิบัติให้เกิดความชำนาญไม่ใช่รู้แต่ทฤษฏีอย่างเดียว การลงมือปฏิบัติจริงจะทำให้จำแม่นยำเกิดการถ่ายโยงความจำระยะสั้นให้เป็นระยะยาว
6. หาทางบังคับตัวเอง (Stimulus Control) โดยอาศัยการจัดสิ่งแวดล้อมเป็นตัวเร่งและกระตุ้นจากหลักการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียน 6 ประการดังกล่าว ถ้าเราปฏิบัติตนให้ถูกวิธี เราจะประสบผลสำเร็จ มีผู้เสนอข้อปฏิบัติตนที่ดีไว้มากมาย

ต่อไปนี้เป็นข้อปฏิบัติตนที่ได้คัดเลือกให้ท่านลองนำไปปฏิบัติดูเพียง 5 ข้อ
ข้อปฏิบัติตนของการเป็นผู้เรียนที่ดี
1. เวลาฟังอาจารย์สอนหรือเวลาอ่าน ต้องคิดตาม ถาม จด ตลอดเวลา ถ้าไม่เข้าใจควรจดคำถามไว้เพื่อคิดค้นคว้าหรือถามผู้รู้ต่อไป
2. หามุมที่ใช้เป็นที่ดูหนังสือหรือทำการบ้านที่จะทำให้มีประสิทธิภาพ
3. จัดเวลาสำหรับทบทวนสิ่งที่เรียนมา หรืออ่านล่วงหน้าสิ่งที่จะเรียนต่อไป และถ้าปฏิบัติตามที่กำหนดได้ควรให้รางวัลตัวเอง เช่น ได้ขนม ได้เล่น
ได้ฟังเพลง ดูทีวี ได้ออกกำลัง เป็นต้น ถ้าทำไม่ได้ตามกำหนดควรหาเวลาชดเชย
4. ท่องหนังสือกับเพื่อน อย่าหวงวิชา แบ่งปันความรู้อธิบายให้กันและกัน อย่าช่วยเหลือเพื่อนในทางที่ผิด เช่น ทุจริตเวลาสอบ หรือให้ลอกงานโดยไม่เข้าใจ
5. ฝึกศึกษาด้วยตนเอง มิใช่ต้องเรียนจากครูเพียงอย่างเดียว การศึกษาด้วยตนเองต้องใช้สมาธิมาก ต้องทำความเข้าใจจดสาระสำคัญต่าง ๆ
ลงในโน้ตย่อ จดสิ่งที่ไม่เข้าใจไว้ค้นคว้าต่อไปขอให้ท่านลองปฏิบัติตาม 5 ข้อนี้ โปรดสำรวจตัวท่านเองทุกสัปดาห์ว่า ท่านยังขาดข้อใดบ้างพยายามปรับปรุงทำให้ได้ ต้องอดทน แม้ว่าจะเป็นนิสัยเดิมก็ตาม ถ้าท่านทำได้รับรองว่าท่านจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการเรียนคนหนึ่งแน่นอน
หากท่านยังไม่สามารถปฏิบัติตนดังกล่าวได้ ท่านต้องหาสาเหตุอื่น ๆอีกเช่น

ท่านขาดแรงจูงใจในการเรียนหรือไม่
เวลาทำใจไม่จดจ่อ (ขาดสมาธิ) ใช่หรือไม่
อ่านเท่าไรก็ไม่จำ (อ่านไม่เป็น) ใช่หรือไม่
คิดเท่าไรก็ไม่ออก ใช่หรือไม่

ถ้าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับตัวท่านแล้วท่านจะต้องหาทางแก้ไขและฝึกฝนตนเองในจุดที่ท่านบกพร่องเช่นในด้านความจำ เป็นสิ่งสำคัญมากในการเรียนคณิตศาสตร์ เราต้องทำความเข้าใจก่อนแล้วจำ
ทำอย่างไรเราจะจำดี
จากการศึกษาของนักจิตวิทยาเกี่ยวกับการจำการลืมของมนุษย์พบว่า คนเรามีอัตราการจำหรือลืมดังนี้
เมื่อเวลาผ่านไป หนึ่งวัน คนเราจะจำเรื่องราวที่ตนอ่านไปได้ประมาณ 50% และลดลงไปอีกครึ่งหนึ่งทุก ๆ 7 วัน จนในที่สุด จะนึกไม่ออกเลยเมื่อผ่านไป 21 วัน ทางแก้การลืมความรู้ก็คือไปทบทวนทันทีที่เราเรียนในแต่ละ วันเพื่อมิให้เกิน 24 ชั่วโมง จากนั้นเราทิ้งช่วงไปทบทวนรวบยอดในวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ เพื่อมิให้เกิน 7 วัน ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์จะทบทวนสิ่งที่เรียนมาทั้งสัปดาห์
เนื่องจากแต่ละวันความรู้จะพอกพูนขึ้นไปเรื่อย ๆ เราควรทำโน้ตย่อและทบทวนจากโน้ตย่อสาระสำคัญ จะช่วยให้เราเสียเวลาทบทวนน้อยลง
บทความโดย : ผ.ศ.ดร.สมวงษ์ แปลงประสพโชค
ที่มา : ศูนย์พัฒนาสื่อการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ พระนคร

อ่างอาบน้ำกับตำนานลวง


ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 คนทั่วโลกดำเนินชีวิตด้วยความยากลำบาก ข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ล้วนมีแต่เรื่องความหดหู่และความสูญเสีย นักข่าวคนหนึ่งจึงแต่งนิยายเบาๆเกี่ยวกับประวัติของอ่างอาบน้ำลงในคอลัมน์ หากแต่คนส่วนใหญ่กลับเชื่อสนิทใจ นำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้อ้างอิงจวบจนกระทั่งในปัจจุบัน
สำหรับในบ้านเราอ่างอาบน้ำอาจจะไม่ใช่สิ่งจำเป็นเท่าไรนัก แต่ในบ้านอังกฤษและอเมริกามีอ่างน้ำติดตั้งแทบจะทุกหลังคาเรือน ดังนั้น จึงถือได้ว่าอ่างอาบน้ำเป็นของใช้ที่มีความสำคัญมากอย่างหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากช่วงกลางศตวรรษที่ 19 กระทรวงสาธารณสุขอเมริกามีความกังวลเกี่ยวกับสุขอนามัยของประชาชนและการแพร่ระบาดของเชื้อโรค การป้องกันที่ได้ผลดีที่สุดคือการรณรงค์ให้ประชาชนดูแลรักษาความสะอาดตัวเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มชนชั้นล่าง
จากการศึกษาพบว่าการแยกแหล่งเพาะเชื้อโรคออกจากสถานที่อยู่อาศัยเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคได้เป็นอย่างดีดังจะเห็นว่าในปี 1870 การรณรงค์สร้างห้องครัวและห้องน้ำแยกเป็นเอกเทศไม่ปะปนกับห้องอื่นๆภายในอาคารทำให้อัตราการแพร่เชื้อโรคลดน้อยลง
เฮนรี่ หลุยส์ เมน์กเคน (Henry Louis Mencken) ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์นิวยอร์กอีฟนิ่งนิวส์ เล็งเห็นถึงความสำคัญของอ่างอาบน้ำ จึงได้ทำการค้นคว้าสืบสาวประวัติความเป็นมา เรียบเรียงบทความเนื่องในโอกาสวันครบรอบ 75 ปีการติดตั้งอ่างอาบน้ำในทำเนียบขาว บทความนี้ถูกตีพิมพ์เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 1917 โดยให้ชื่อเรื่องว่า A Neglected Anniversary หรือวันครบรอบที่ถูกลืม
ของใช้ชาววัง
เฮนรี่กล่าวว่า วันที่ 20 ธันวาคม เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวอเมริกันหากแต่ไม่มีใครสักคนที่เฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญนี้เพราะมันได้ถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำอย่างสิ้นเชิง เมื่อราว 8 เดือนก่อนกลุ่มแพทย์รุ่นใหม่พยายามจะรื้อฟื้นความสำคัญของวันนี้โดยการติดต่อกระทรวงสาธารณสุข เรียกร้องให้ประกาศเป็นวันสำคัญของชาติ มีการจัดงานเฉลิมฉลองเหมือนวันสำคัญวันอื่นๆ หากแต่ว่ากรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประสบกับภาวะภัยแล้งเสียก่อนแผนการทั้งหมดจึงถูกระงับ
ประวัติอ่างอาบน้ำในอเมริกาเริ่มต้นขึ้นเมื่ออดัม ทอมป์สัน พ่อค้าขายเมล็ดฝ้ายและเมล็ดพันธุ์พืชชาวซินซินเนติ รัฐโอไฮโอ เดินทางไปยังประเทศอังกฤษเมื่อราวทศวรรษที่ 1830 เขาได้สัมผัสกับการใช้ชีวิตของขุนนางชั้นสูง ทำให้มีโอกกาสได้ใช้สิ่งประดิษฐ์ใหม่อย่างเช่นอ่างอาบน้ำ
อ่างอาบน้ำประดิษฐ์โดยลอร์ดจอห์น รัสเซล เมื่อราวปี 1828 มันถูกจำกัดการใช้งานอยู่ในแวดวงราชสำนัก แม้ว่าอ่างอาบน้ำในยุคแรกๆจะมีขนาดเล็กกะทัดรัด แต่มันก็ยังต้องใช้ข้าทาสบริวารจำนวนมากในการเติมน้ำและนำน้ำที่อาบแล้วไปเททิ้ง ลอร์ดจอห์นถึงกับคุยโม้โอ้อวดว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวในประเทศอังกฤษที่สามารถอาบน้ำในอ่างได้ทุกวัน
อดัมเห็นว่าอ่างอาบน้ำของคนอังกฤษนั้นมีขนาดเล็กเกินไป มันคงจะดีไม่ใช่น้อยหากอ่างอาบน้ำมีขนาดใหญ่พอให้คนขนาดผู้ใหญ่ลงไปนอนแช่ในอ่างได้ทั้งตัวและสามารถต่อประปามายังอ่างอาบน้ำได้โดยตรง โดยไม่ต้องใช้แรงงานทาสตักน้ำจากบ่อมาเติมทีละถัง
นวัตกรรมล้ำสมัย
หลังจากกลับจากอังกฤษ อดัมสร้างอ่างอาบน้ำอันแรกของประเทศอเมริกาขึ้นในปี 1842 ติดตั้งในห้องห้องน้ำคฤหาสน์ เมืองซินซินเนติ และแน่นอนว่าในสมัยนั้นยังไม่มีระบบประปา อดัมแก้ปัญหาด้วยการติดตั้งปั๊มสูบน้ำ สูบน้ำจากบ่อในสวนให้ไหลมาตามท่อที่เชื่อมต่อมายังห้องน้ำในตัวคฤหาสน์
แต่สมัยนั้นการเดินเครื่องสูบน้ำก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเช่นกัน มันต้องใช้แรงงานทาสถึง 6 คนในการเดินเครื่องสูบน้ำ น้ำจะถูกสูบขึ้นไปยังถังไม้ที่ติดตั้งอยู่ในห้องใต้หลังคา ด้านล่างของถังน้ำมีท่อ 2 ท่อ คือท่อน้ำเย็นและท่อน้ำร้อน ท่อน้ำร้อนถูกวางผ่านตามปล่องไฟในครัว ภายในท่อมีเส้นลวดโลหะขดเพื่อเก็บกักความร้อน
อ่างน้ำได้รับการออกแบบใหม่โดยเจมส์ คูลเนสส์ ช่างทำตู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยนั้น มันทำด้วยไม้มาฮอกกานีจากนิการากัว ความยาว 7 ฟุต กว้าง 2 ฟุต ด้านในบุด้วยแผ่นตะกั่ว เชื่อมรอยต่อแต่จะจุดแนบสนิทป้องกันน้ำซึมออกจากถัง เนื่องจากมันมีน้ำหนักเกือบ 800 กิโลกรัมจึงต้องเสริมพื้นให้มีความแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักได้
อดัมใช้อ่างอาบน้ำนี้เป็นครั้งแรกเมื่อเวลา 08.00 น. ของวันที่ 20 ธันวาคม 1842 และใช้เป็นครั้งที่สอง อาบน้ำอุ่นในตอนบ่ายของวันเดียวกัน การทำน้ำอุ่นทำโดยการติดเตาในครัวตั้งความร้อนไว้ที่ 40 องศาเซลเซียส
อดัมจัดงานปาร์ตี้ที่บ้านในคืนวันคริสต์มาส เขานำแขกที่มาในงานเข้าชมสิ่งประดิษฐ์ใหม่ รวมถึงพันเอกดัชเนล จากกองทัพฝรั่งเศสที่ตื่นเต้นจนเกือบจะกระโดดลงอ่างทันทีที่เห็น ข่าวได้แพร่สะพัดปากต่อปากออกไปอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับในเวลาต่อมา
เรื่องระดับชาติ
การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนทำให้อ่างอาบน้ำกลายเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง บรรดาผู้ดีมีเงินต่างสั่งต่ออ่างอาบน้ำมาใช้ที่บ้าน ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ถูกคนค่อนแคะว่าเป็นสิ่งของฟุ่มเฟือย มีไว้ใช้เพื่อความสำราญ ขณะเดียวกันสมาคมแพทย์ก็ออกมาให้ความเห็นว่าการใช้อ่างอาบน้ำเสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรค โรคไขข้อ ปอดบวม และโรคที่เกิดจากการหมักหมมสิ่งปฏิกูล
สภาเทศบัญญัติเมืองฟิลาเดลเฟียเสนอร่างกฎหมายห้ามใช้อ่างอาบน้ำระหว่างวันที่ 1พฤศจิกายนถึง 15 มีนาคม แต่ญัตตินี้ถูกตีตกไปด้วยเสียงค้านข้างมากที่ชนะไปเพียง 2 เสียงเท่านั้น และในปีเดียวกัน รัฐเวอร์จิเนียได้ออกกฎหมายเก็บภาษีติดตั้งอ่างอาบน้ำเป็นเงิน 30 ดอลลาร์ต่อปี อีกทั้งยังเรียกเก็บภาษีใช้น้ำจากผู้ติดตั้งอ่างอาบน้ำใน 4 เมืองใหญ่
ปี 1845 เมืองบอสตันออกกฎหมายให้อ่างอาบน้ำเป็นสิ่งผิดกฎหมาย อนุญาตให้ใช้ได้เฉพาะเพื่อบำบัดทางการแพทย์เท่านั้น ซึ่งต่อมากฎหมายฉบับนี้ถูกยกเลิกในปี 1862
อันตรายของอ่างอาบน้ำเป็นที่ถกเถียงกันมากในวงการแพทย์จนกระทั่งสมาคมแพทย์อเมริกันได้จัดสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นที่เมืองบอสตัน เมื่อปี 1849 และผลสรุปออกมาว่าแพทย์ผู้เข้าร่วมสัมมนา 55 เปอร์เซ็นต์ลงความเห็นว่าอ่างอาบน้ำไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ผู้นำประเทศคอนเฟิร์ม
เดือนมีนาคม 1850 ประธานาธิบดีมิลลาร์ด ฟิลล์มอร์ (Millard Fillmore) ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี มีโอกาสเดินทางไปยังคฤหาสน์ของอดัมและได้ทดลองใช้อ่างอาบน้ำจนติดใจ หลังจากนั้นไม่นาน มิลลาร์ดได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีแทนแซคารี เทย์เลอร์ (Zachary Taylor) ที่เสียชีวิตลง
ปี 1851 มิลลาร์ดสั่งให้พลเอกชาร์ล คอนราด (Charles Conrad) รัฐมนตรีกระทรวงสงครามติดตั้งอ่างอาบน้ำในทำเนียบขาว เท่ากับเป็นการยอมรับว่าอ่างอาบน้ำเป็นสิ่งถูกกฎหมายและมีความปลอดภัย ทำให้อ่างอาบน้ำกลายเป็นที่นิยมในหมู่ชาวอเมริกัน
บทความประวัติความเป็นมาของอ่างอาบน้ำในอเมริกาได้ถูกนำไปอ้างอิงหลายต่อหลายครั้ง โดยครั้งล่าสุดเมื่อปี 2004 หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ เขียนบทความเกร็ดสาระน่ารู้โดยอ้างบทความของเฮนรีว่า "พนันกันได้ว่าคุณไม่รู้ว่าประธานาธิบดีมิลลาร์ด ฟิลล์มอร์ เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ติดตั้งอ่างอาบน้ำในทำเนียบขาว"
เดือนพฤษภาคม 1926 เฮนรี่พยายามยุติข่าวโคมลอยที่ตัวเองกุชึ้นมาโดยเขียนบทความรับสารภาพว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นเขาเสกสรรปั้นแต่ง นั่งเทียนเขียนเพื่อความบันเทิง แต่หลายคนได้อ่านแต่เพียงบทความแรกไม่ได้อ่านบทความรับสารภาพ เรื่องราวประวัติอ่างอาบน้ำลวงโลกของชาวอเมริกันจึงยังคงตามหลอกหลอนอยู่ตราบจนกระทั่งในปัจจุบัน

"อันตรายของอ่างอาบน้ำเป็นที่ถกเถียงกันมากในวงการแพทย์
จนกระทั่งสมาคมแพทย์ได้จัดสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้น
แพทย์ 55% ลงความเห็นว่าอ่างอาบน้ำไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ"
ที่มา "การศึกษาวันนี้"
ผู้เขียน : ศิลป์ อิศเรศ silp@watta.co.th

งดเหล้าเท่ากับงดการเสพสิ่งทำลายสติปัญญา



ในช่วงระหว่างนี้ เรายังคงอยู่กับช่วงเข้าพรรษา ตลอด 3 เดือนนี้ มีสิ่งสำคัญหลากหลายที่จะชวนให้ทำดีในพรรษานี้ โดยเฉพาะการงดเหล้าเข้าพรรษาที่ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายกับผู้คนที่ต้องเอาชนะใจตนเอง ชนะใจกับอบายมุขนี้ให้ได้
แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต แห่งเสถียรธรรมสถาน บอกกล่าวไปยังผู้ที่ต้องการและยึดมั่นที่จะทำดีในพรรษานี้ว่า หากยังมีชีวิตอยู่ขณะสุดท้ายของชีวิต อยากให้ลองคิดดูว่าจะอยากอยู่อย่างไร อยากอยู่อย่างตายทั้งเป็นหรืออยู่อย่างสงบเย็นและเป็นสุข หากคิดว่าจะเลือกอยู่อย่างสงบเย็นและเป็นสุข ต้องงดทุกอย่างที่จะทำให้คุณอยู่อย่างตายทั้งเป็น เวลาที่เราพบว่าเราตัดสินใจดีแล้ว กำลังใจจะกลับมา จะเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับหัวใจของคุณได้ และนั่นคือการงดที่ดีที่สุดตลอดชีวิตของคุณ งดเหล้าเท่ากับงดการเสพสิ่งที่ทำลายสติปัญญา งดได้เมื่อไหร่ก็งอกงามได้เมื่อนั้น
อย่างที่ทราบกันดีว่าการงดของมึนเมานั้นนับเป็นหนึ่งในศีลห้าข้อ ที่เหล่าพุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติ ซึ่งในเรื่องนี้แม่ชีศันสนีย์พูดได้อย่างน่าสนใจว่า เรื่องของศีลของ 5 หากไม่สามารถละได้ในข้อนี้ ข้อ 1-4 จะบกพร่องมากที่สุด เวลาที่ทำลายสติปัญญา ก็จะทำผิดศีลข้ออื่นได้ด้วย ก็หวังว่าเวลาที่มีกำลังใจในการบอกกับตัวเองว่าเราทำได้ทันที ก็คือทันที ก็คือการเจริญสติปัญญา หากมีสติปัญญาอารักขาได้เมื่อไหร่ ก็จะไม่กลับไปเสพสิ่งที่ทำลายสติปัญญา เพราะสติปัญญาเป็นดังขุมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่จะทำให้คุณรู้ตื่นและเบิกบาน มาช่วยกันทำให้ชีวิตเบิกบานอยู่ด้วยธรรม แล้วจะพบว่าเราจะไม่กลับไปในสิ่งที่เคยเดินผ่านมาและอยู่อย่างตายทั้งเป็น
"ในบางเรื่องที่เราอาจคิดว่าเราจะผ่านหรือไม่ผ่าน กลับมาหายใจลึกๆ แล้วถามตัวเองว่าขณะที่กายอยู่ที่นี่ใจรู้ตื่นและเบิกบานที่นี่ ไม่มีอะไรที่คุณทำไม่ได้ ทุกอย่างเป็นการเดินทางที่จะทำให้คุณเข้าถึงเป้าหมายได้ อย่าหลงทางเสียก่อน ตัดสินใจสตาร์ทมาดีแล้ว ตั้งสติอีกหน่อยถึงเป้าหมายแน่นอน ถ้าคุณกลับไปดื่มอีก แม้แต่หยดเดียว คุณต้องไปตั้งหลักที่จะต้องสตาร์ทอีกครั้ง อย่างหนักกว่าค่ะ ไหนๆ ก็เดินทางมาแล้ว แม้จะมีมารเข้ามาบ้าง ลองกลับไปที่ลมหายใจแห่งสติ และบอกกลับตัวเองว่าหากไม่มีมาร ปัญญาก็ไม่เกิด มันมาแค่ล่อคุณเท่านั้น เห็นมารมา จ๊ะเอ๋แล้วบ๊ายบายแล้วก้าวต่อไปเลย คุณทำได้ค่ะ"
แม่ชีศันสนีย์ ยังบอกอีกว่า "มีคนหลายคนบอกว่าผู้หญิงมักตกเป็นเหยื่อ แม่บอกกับผู้หญิงด้วยกันว่าเราเป็นมนุษย์ที่แท้ เราไม่ได้เป็นแค่เหยื่อ ตอนนี้ผู้หญิงดูเหมือนเราจะตกเป็นเหยื่อก็จริง ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เราจะกลายเป็นผู้หญิงที่ล่าเหยื่อเสียเอง อันนั้นน่ากลัวมาก ดังนั้นตอนนี้รักษาความเป็นมนุษย์เอาไว้ อย่าทำให้กลายเป็นเหยื่อ แต่เป็นมนุษย์ที่แท้ เมื่อไม่เป็นแค่เหยื่อแล้ว เราก็จะไม่เป็นคนที่ล่าเหยื่อด้วย อยากให้รู้ว่าความงดงามของผู้หญิงไม่ได้อยุ่ที่ความเก่ง แต่อยู่ที่คุณจะอยู่ได้อย่างรอดปลอดภัยจากสติปัญญาของคุณเอง เป็นผู้หญิงที่แท้อย่ามักง่ายและเป็นเหยื่อของการเสพสิ่งที่ทำลายสติปัญญา คุณทำได้"
ไม่ว่าจะเป็นเพศใด วัยใดก็ตาม หากแม้นตั้งมั่นที่จะทำดี ในระยะพรรษานี้ยังมีเวลาเหลืออยู่ที่จะทำได้ หากตั้งสติให้กับตัวเอง และตั้งมั่นกับสิ่งที่ทำ เชื่อได้ว่าปัญญาก็จะเกิดตามมาได้อย่างไม่ยากเย็น

เรื่องโดย : สุนันทา สุขสุมิตร Team content www.thaihealth.or.th

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

ผลวิจัยเผย น้ำอัดลม 1 ขวด = วิ่ง 50 นาที


เล่นเอาสาวๆ ที่กลัวอ้วนไม่กล้าดื่มน้ำอัดลมกันไปเลยล่ะสิ เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ การศึกษาตีพิมพ์ใน American Journal of Public Health เปิดเผยว่า
คนเรามักจะประเมินแคลอรีที่ตัวเองกินเข้าไปผิดพลาด และแทนที่อาหารจะติดฉลากว่ามีแคลอรีเท่าไหร่นั้น ฉลากที่เขียนว่าต้องวิ่งเพื่อเบิร์นพลังงานกี่นาทีจะได้ผลดีมากกว่า โดยนักวิจัยจาก Johns Hopkin's Bloomberg School of Public Health ชี้ ว่า แม้น้ำอัดลมจะมีแคลอรีสูง แต่ก็มีสารอาหารเป็นศูนย์ สำหรับคนหนัก 55 กิโลกรัม อาจต้องใช้เวลาถึง 50 นาทีในการเบิร์นน้ำอัดลม 20 ออนซ์ ส่วนคนหนัก 75 กิโลกรัมก็อาจต้องใช้เวลาถึง 40 นาที...ไม่อยากคิดเลยว่าคนดื่มน้ำอัดลมทั้งวันจะต้องวิ่งกี่ชั่วโมงกว่าจะ เบิร์นหมด

กินไข่ทุกวัน อันตราย หรือปลอดภัย


มีข้อกล่าวถึงไข่ แหล่งโปรตีนราคาถูกไปในทางดีและทางร้ายอยู่ตลอดเวลาอะไรคือข้อเท็จจริง
ไข่เจียวร้อน ๆ กับพริกขี้หนูสด ฟาสต์ฟู้ดคนไทยที่อร่อยสุดยอด หรือไข่ออมเลตแบบอเมริกันเบรกฟาสท์ กินไข่ปลอดภัยหรือทำร้ายหัวใจของเรา
ผู้ที่รักสุขภาพมากมายเริ่มรังเกียจความอร่อยของไข่ เพราะกลัวโคเลสเตอรอลที่มากับไข่แดง บางคนถึงกับแยกกินเฉพาะไข่ขาวปราศจากไข่แดง น่าเสียดาย เรากำลังโยนทิ้งคุณค่าอาหารที่ดีที่สุดในไข่แดงเหมือนกับเรากินข้าวขัดสีสวยงามที่ขัดเอาวิตามินออกไปเสียหมด
ไข่แดงมีโคเลสเตอรอลสูง เป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ร่างกายเราจำเป็นต้องมีโคเลสเตอรอลที่เหมาะสมในกระบวนการเผาผลาญอาหารหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย หากเรากินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลต่ำตลอดเวลา ร่างกายก็ต้องผลิตออกมาเพื่อสร้างความสมดุล
ถ้าคุณมีโคเลสเตอรอลสูงกว่าปกติอยู่แล้ว ไข่แดงก็ควรจะหลีกเลี่ยง แต่ทว่าขอให้ระลึกไว้ด้วยว่า ภาวะโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โคเลสเตอรอลไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่ก่อให้เกิดปัญหา(ส่วนใหญ่เกิดจากความเครียด ไม่ออกกำลังกายหรือกินมากไป)
การเลือกกินเฉพาะไข่ขาวเพราะกลัวโคเลสเตอรอล ทำให้คุณพลาดคุณค่าที่ดีของไข่แดง เพราะในไข่แดงมีสารอาหารมากมายไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี วิตามินเอ โฟเลต
โคลีน และบรรดาเกลือแร่ต่าง ๆ แคลเซี่ยม เหล็ก

กินไข่ไขมันดีเพิ่ม มหาวิทยาลัย North Carolina สหรัฐอเมริกา สนับสนุนให้กินไข่ทุกวันเพราะเป็นแหล่งสารอาหารที่ถูกมากโดยเฉพาะโคลีนที่มีมากในไข่แดง ซึ่งช่วยให้ระบบเซลล์สื่อประสาททำงานได้ดี ช่วยเรื่องความจำ เด็ก ๆ ควรกินสม่ำเสมอเพราะไม่ต้องห่วงเรื่องโคเลสเตอรอล
กินไข่ทำให้โคเลสเตอรอลตัวดี HDL เพิ่มมากขึ้น การมี HDL เพิ่มมากขึ้นทำให้อัตราส่วนโคเลสเตอรอลรวมกับHDL ดีขึ้น สัดส่วนที่ดีหมายถึงเอาโคเลสเตอรอลรวมหารด้วย HDL ค่าที่ดีควรอยู่ที่ 2-3 ในผู้หญิง และ 3-4 ในผู้ชาย
กินไข่ไม่ทำให้อ้วน จากการติดตามศึกษากลุ่มคนที่รับประทานอาหารเช้าเป็นไข่เทียบกับกลุ่มที่ทานซีเรียลและขนมปัง เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่กินไข่เป็นอาหารเช้าจะมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยต่ำกว่าอีกกลุ่ม เป็นเพราะโปรตีนจากไข่ร่างกายจะค่อย ๆ ย่อยเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ไม่เหมือนกับการกินคาร์โบไฮเดรตหรือไขมันที่จะย่อยเร็วกว่า จึงทำให้หิวเร็วกว่าและทานซ้ำมากกว่า
แม้ว่าไข่จะมีโคเลสเตอรอลสูงถึง 200 มิลลิกรัมซึ่งสมาคมโรคหัวใจของอเมริกา (American Heart Association) ได้ให้ข้อกำหนดว่าเราควรกินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ทำการศึกษาว่าการกินไข่มากกว่าวันละฟองไม่ทำให้ความเสี่ยงของโรคหัวใจเพิ่มขึ้น แต่การปฏิเสธไม่กินไข่เลยหรือเลือกกินเฉพาะไข่ขาวไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเพราะร่างกายหากได้โคเลสเตอรอลไม่เพียงพอร่างกายเราก็จะพยายามผลิตออกมาเอง ซึ่งอาจจะมากกว่าการกินเข้าไป
การกินแบบพอดี ไข่วันละฟองหรือสัปดาห์หนึ่ง 3-4 ฟอง ไม่ก่อปัญหาให้มากแต่ที่เป็นปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการได้ไขมันส่วนเกินจากเครื่องเคียงเสียมากกว่า เช่น ไส้กรอกทอดที่อุดมด้วยน้ำมันทั้งนอกและใน ไข่เจียวอมน้ำมัน หรือขนมปังทาเนยจริงหรือเทียม ล้วนเป็นตัวสร้างปัญหาให้มากกว่าตัวไข่เอง
กินไข่ต้มรับรองว่าคุณได้สารอาหารที่ครบคุณค่าและปลอดภัยจากไขมันที่มาจากการปรุง สำหรับผู้ใหญ่ที่มีปัญหาสุขภาพก็ควรระมัดระวัง แต่สำหรับเด็ก ๆ ไข่คืออาหารที่วิเศษที่คุ้มค่าราคาเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับ