วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

‘เจ้าตูบ‘ 5 สายพันธุ์ ที่ฉลาดแสนรู้ที่สุดในโลก


สัตว์หน้าขนที่มีหัวใจใสซื่ออาจมีสมองมากกว่าที่เราคิด และถ้าใครอยากได้เพื่อนรู้ใจฉลาด ๆ สักตัว ลองมองพวกเขาเหล่านี้หน่อยละกันนะ
มาดูกันค่ะ ว่า สุนัข 5 สายพันธ์ที่มีความฉลาดแสนรู้ติดอันดับของโลก มี สายพันธุ์อะไรกันบ้าง
1. บอร์เดอร์ คอลลี่
เจ้าตูบตัวนี้จะอยู่ไม่สุข ถ้าเราไม่มอบหมายงานให้มันทำ และด้วยความฉลาดเป็นอันดับหนึ่ง มันจึงถูกฝึกในงานยาก ๆ ที่ต้องใช้ทั้งความว่องไวและวินัย แถมยังเลี้ยงแกะได้เป็นที่หนึ่ง
2. พุดเดิ้ล
พูเดิ้ลพันธุ์มาตรฐานนั้นฉลาดมาก ๆ และก็ฝึกง่าย พวกมันชอบอยู่ใกล้ ๆ คน เป็นสุนัขเฝ้าบ้านที่ดี และบางตัวอาจถูกฝึกให้ช่วยล่าสัตว์ได้ด้วยซ้ำ โดยรวมแล้วถือเป็นน้องหมาที่มีความสุขและเซนซิทีฟพอสมควรเลยล่ะ
3. เยอรมันเชพเพิร์ด
ในหมู่สุนัขด้วยกัน สายพันธุ์นี้ขึ้นชื่อเรื่องความกล้าหาญ จงรักภักดี แถมยังฉลาดไม่แพ้ใคร เราจึงมักจะเห็นมันรับหน้าที่สำคัญอย่างเป็นสุนัขตำรวจหรือสุนัขตรวจหาสิ่ง เสพติด
4. โกลเด้น รีทรีฟเวอร์
หนึ่งในน้องหมาที่คนนิยมมากที่สุดในโลก ทั้งซื่อสัตย์ อดทน เข้ากับเด็ก ๆ ได้ดี กระตือรือร้น มีวินัย ฝึกง่าย
5. โดเบอร์แมน พินสเซอร์
เห็นหน้าดุ ๆ แต่โดเบอร์แมนก็ซื่อสัตย์ มันชอบทำงาน และมีความอดทนสุด ๆ บางตัวที่ค่อนข้างเชื่องก็อาจถูกนำมาฝึกเป็นสุนัขที่ใช้ในการบำบัด และเจ้าดำของคุณจะไม่ดุร้าย แต่เชื่อใจได้เสมอ เรื่องเฝ้าบ้านและปกป้องเจ้านาย
ภาพประกอบจาก : Photos.com

การสร้างโมเดลความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล: ER-DIAGRAM


การสร้างโมเดลความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล: ER-DIAGRAM
การสร้างโมเดลความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล : ER-DIAGRAM
แนวคิดเกี่ยวกับ ER-DIAGRAM 
ER-DIAGRAM ประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐานดังนี้
  • เอนทิตี้ (Entity) เป็นวัตถุ หรือสิ่งของที่เราสนใจในระบบงานนั้น ๆ
  • แอททริบิว (Attribute) เป็นคุณสมบัติของวัตถุที่เราสนใจ
  • ความสัมพันธ์ (Relationship) คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้
เอนทิตี้ (Entity)
                เอนทิตี้  หมายถึง สิ่งของหรือวัตถุที่เราสนใจ ซึ่งอาจจับต้องได้และเป็นได้ทั้งนามธรรม โดยทั่วไป เอนทิตี้จะมีลักษณะที่แยกออกจากกันไป เช่น เอนทิตี้พนักงาน จะแยกออกเป็นของพนักงานเลย เอนทิตี้เงินเดือนของพนักงานคนหนึ่งก็อาจเป็นเอนทิตี้หนึ่งในระบบของโรงงาน 
โดยทั่วไปแล้ว เอนทิตี้จะมีกลุ่มที่บอกคุณสมบัติที่บอกลักษณะของเอนทิตี้ เช่น พนักงานมีรหัส ชื่อ นามสกุล และแผนก โดยจะมีค่าของคุณสมบัติบางกลุ่มที่ทำให้สามารถแยกเอนทิตี้ออกจากเอนทิตี้อื่นได้ เช่น รหัสพนักงานที่จะไม่มีพนักงานคนไหนใช้ซ้ำกันเลย เราเรียกค่าวของคุณสมบัติกลุ่มนี้ว่าเป็นคีย์ของเอนทิตี้
รูปสัญลักษณ์ของเอนทิตี้ คือ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัวอย่างเช่น 
แอททริบิวท์ (Attribute)  
Attribute คือ คุณสมบัติของวัตถุหรือสิ่งของที่เราสนใจ โดยอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของเอนทิตี้ โดยคุณสมบัตินี้มีอยู่ในทุกเอนทิตี้ เช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ แผนก เป็น Attribute ของเอนทิตี้พนักงาน
โดยทั่วไปแล้วโมเดลข้อมูล เรามักจะพบว่า Attribute มีลักษณะข้อมูลพื้นฐานอยู่โดยที่ไม่ต้องมีคำอธิบายมากมาย และ Attribute ก็ไม่สามารถอยู่แบบโดด ๆ ได้โดยที่ไม่มีเอนทิตี้หรือความสัมพันธ์
รูปสัญลักษณ์ของ Attribute คือ รูปวงรีโดยที่จะมีเส้นเชื่อมต่อกับเอนทิตี้ ตัวอย่างเช่น

ชนิดของ Attribute สามารถแบ่งออกได้หลายลักษณะดังนี้
Simple และ Composite
  • Simple Attribute คือ Attribute ที่ไม่สามารถแยกออกเป็นส่วนย่อยได้เช่น รหัส
  • Composite Attribute คือ Attribute ที่สามารถแยกออกเป็นส่วนย่อยได้เช่น ชื่อ อาจจะประกอบด้วยชื่อต้น และชื่อสกุล เป็นต้น โดยยกตัวอย่างเช่น


Single – valued และ Multi – valued attribute
  • Single – valued คือ ค่าของเอนทิตี้ที่สามารถมีได้แค่ค่าเดียว เช่น วันเกิด สำหรับพนักงานแล้วสามารถมีได้เพียงค่าเดียว จึงให้สัญลักษณ์ของ Attribute ปกติ
  • Multi – valued คือ ค่าที่เป็นไปได้มากกว่า 1 ค่า เช่น ทำเลที่ตั้งของโรงงานสามารถมีได้มากกว่า 1 แห่ง
  • รูปสัญลักษณ์ที่ใช้จะเป็นรูปวงรีซ้อนกัน 2 รูป โดยจะยกตัวอย่างเช่น

Stored และ Derived attribute
  • Stored Attribute จะเป็น Attribute ที่เก็บอยู่ในฐานข้อมูล เช่น วันเกิด ใช้สัญลักษณ์ปกติ
  • Derived Attribute เป็น Attribute ที่เกิดจากการคำนวณ เช่น อายุ เกิดจากการคำนวณวันเกิดกับช่วงเวลาปัจจุบัน
  • รูปสัญลักษณ์ คือ รูปวงรีมีเส้นประรอบ ๆ โดยจะยกตัวอย่าง เช่น
ความสัมพันธ์ (Relationship) 
เอนทิตี้แต่จะต้องมีความสัมพันธ์ร่วมกัน โดยจะมีชื่อแสดงความสัมพันธ์ร่วมกันซึ่งจะใช้รูปภาพสัญลักษณ์สี่เหลี่ยมรูปว่าวแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิต
ี้และระบุชื่อความสัมพันธ์ลงในสี่เหลี่ยม ดังตัวอย่างเช่น รูปนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้อาจารย์กับกลุ่มเรียน



    ระดับชั้นของความสัมพันธ์ (Relationships Degree) จะบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้ มีดังนี้
  • ความสัมพันธ์เอนทิตี้เดียว (Unary Relationships) หมายถึง เอนทิตี้หนึ่ง ๆ จะมีความสัมพันธ์กับตัวมันเอง
  • ความสัมพันธ์สองเอนทิตี้ (Binary Relationships) หมายถึง เอนทิตี้สองเอนทิตี้จะมีความสัมพันธ์กัน
  • ความสัมพันธ์สามเอนทิตี้(Ternary Relationships) หมายถึง เอนทิตี้สามเอนทิตี้มีความสัมพันธ์กัน



ภาพที่ 1.1 แสดงตัวอย่างของระดับชั้นของข้อความ
การระบุตำแหน่งความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้ (Connectivity) 
การระบุตำแหน่งความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้ (Connectivity) ว่าเป็นแบบหนึ่งต่อหนึ่ง (One to One Relationships) , แบบหนึ่งต่อกลุ่ม (One to Many Relationships) หรือ แบบกลุ่มต่อกลุ่ม (Many to Many Relationships) นั้นจะใช้ Connectivity เพื่อระบุตำแหน่ง 1, M หรือ N ไว้ข้างใดของเอนทิตี้
ภาพที่ 1.2 แสดงความสัมพันธ์แบบ One to One Relationships
จากตัวอย่างนี้ จะแสดงความสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษากับสัญญาเงินกู้ โดยที่นักศึกษาหนึ่งคนทำสัญญาเงินกู้ได้เพียงครั้งเดียว สัญญาการกู้เงินแต่ละฉบับถูกลงชื่อกู้ได้จากหนักศึกษาเพียงคนเดียวเท่านั้น ความสัมพันธ์การกู้เงินที่เชื่อมระหว่างนักศึกษาและสัญญากู้เงินจึงเป็นแบบ 1-1 
ภาพที่ 1.3 แสดงความสัมพันธ์แบบ One to Many Relationships
                จากตัวอย่างนี้ จะประกอบด้วยเอนทิตี้อาจารย์กับเอนทิตี้กลุ่มเรียน มีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม หมายความว่า อาจารย์จะสอนได้หลายกลุ่มเรียน แต่ละกลุ่มเรียนจะมีอาจารย์สอนได้เพียงคนเดียวไว้ด้านเอนทิตี้อาจารย์และตัวอักษร M ไว้ด้านเอนทิตี้กลุ่มเรียน
     
ภาพที่ 1.4 แสดงความสัมพันธ์แบบ Many to Many Relationships
                    จากตัวอย่างนี้ ประกอบด้วยเอนทิตี้นักเรียนกับเอนทิตี้วิชาเรียน โดยที่นักศึกษาแต่ละคนลงทะเบียนเรียนวิชาได้มากกว่า 1 วิชา แต่ละวิชามีนักศึกษาได้มากกว่า 1 คน ความสัมพันธ์ขอลการลงทะเบียนของนักศึกษากับวิชาเป็นแบบ N: M
Keys
  • Super Key : Attribute หรือกลุ่มของ Attribute ซึ่งมีค่าแตกต่างกันไปในแต่ละเอนทิตี้ สามารถระบุเอนทิตี้เฉพาะตัวหนึ่ง ๆ ได้
  • Candidate Key : Subset ที่เล็กที่สุดของ Super Key ที่สามารถระบุเฉพาะเอนทิตี้นั้นได้
  • Primary Key : Candidate Key ที่ถูกเลือกให้เป็นตัวระบุหรือ Identity เอนทิตี้เฉพาะตัว
Strong VS Weak Entity Sets
บางครั้งเราอาจพบว่าเอนทิตี้ที่มี (Primary Key) ประกอบจาก Primary Key ของ Entity Set อื่น ๆนั่นคือ เอนทิตี้ไม่มี  Primary Key  หรือ Attribute เพียงพอในการสร้าง  Primary Key ได้ด้วยตนเองเราเรียกเอนทิตี้นี้ว่า Weak Entity Set ดังนั้น หากจะระบุถึงเอนทิตี้นี้ได้จะต้องผูกสัมพันธ์กับบางเอนทิตี้ผ่าน Primary Key เป็นของเอนทิตี้ที่สัมพันธ์กับ Weak Entity ที่มี Primary Key ว่าเป็น Strong Entity Set เราพบว่า Weak Entity นั้นจะต้องสัมพันธ์เกี่ยวข้องแบบ Total Participate กับ Strong Entity เสมอ
ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์ของพนักงานและคนในอุปการะ โดยที่คนในอุปการะหนึ่งคนเกี่ยวข้องโดยตรงกับพนักงานหนึ่งคนเท่านั้น แต่พนักงานอาจไม่มีหรือมีมากว่าหนึ่งคนในอุปการะ ซึ่งเราจะพบว่าความสัมพันธ์ระหว่าง Weak กับ Strong Entity จะเป็นแบบกลุ่มต่อหนึ่ง




ภาพที่ 2.5 แสดงความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อหนึ่ง
การแปลง E-R MODEL ให้อยู่ในรูปแบบโครงสร้างฐานข้อมูล
การแปลง E-R MODEL ให้อยู่ในรูปแบบโครงสร้างฐานข้อมูลหรือตารางของข้อมูลมีกฎดังนี้
1.แปลงเอนทิตี้ที่มีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง  (One to One Relationships) ไปเป็นตาราง โดยแทนที่หนึ่งเอนทิตี้เป็นหนึ่งตาราง Attribute แต่ละเอนทิตี้เป็นฟิลด์หรือคอลัมน์แต่ละตาราง
2.แปลงเอนทิตี้ที่มีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม (One to Many Relationships) ไปเป็นตาราง โดยด้านเอนทิตี้ที่เป็นตัวเลข 1 นั้นสามารถแปลงเป็นตารางได้ทันที Attribute ของเอนทิตี้นั้นจะเป็นฟิลด์ของตารางทันที ส่วนด้านเอนทิตี้ที่เป็นตัวอักษร M ให้แผลงเอนทิตี้เป็นตารางโดยมี Attribute ของเอนทิตี้ตัวมันเอง และนำคีย์หลักของเอนทิตี้ที่เป็นเลข 1 มาใส่ฟิลด์ของตารางนั้นด้วย
3.แปลงเอนทิตี้ที่มีความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม  (Many to Many Relationships) ไปเป็นตารางโดยสร้างเอนทิตี้กลาง (Composite Entity) เอนทิตี้กลางจะนำคีย์หลักของทั้งสองตารางมาเป็นคีย์หลักของเอนทิตี้กลางด้วย ส่วนเอนทิตี้ทั้งสองที่อยู่ระหว่างเอนทิตี้กลางก็แปลงเป็นตารางได้ โดยนำเอา Attribute ของแต่ละเอนทิตี้ไปเป็นฟิลด์ (ทำตามกฎของความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง)



ภาพที่ 1.6 ตัวอย่างของระบบซื้อขายรถยนต์


สัญลักษณ์
ความหมาย
สัญลักษณ์
ความหมาย
Entity set
Discriminator key attribute
Weak entity set
Composite attribute
Relationship set
Derived attribute
Identifying relationship set
Key attribute
Attribute
Multi valued attribute

ภาพที่ 1.7 แสดงสัญลักษณ์ของ E-RMODEL


คำศัพท์  

Entity
วัตถุ หรือวิ่งของที่ราสนใจ
Attribute
คุณสมบัติของวัตถุที่เราสนใจ
Relationship
ความสัมพันธ์ระหว่าง เอนทิตี้
Simple Attribute
Attribute ที่ไม่สามารถแยกออกเป็นส่วนย่อย
Composite Attribute
Attribute ที่สามารถแยกออกเป็นส่วนย่อย
Single-valued
ค่าของเอนทิตี้ที่สามารถมีได้แค่ค่าเดียว
Multi-valued
ค่าที่เป็นได้มากกว่า 1 ค่า
Stored Attribute
Attribute ที่เก็บอยู่ในฐานข้อมูล
Derived Attribute
Attribute ที่เกิดจากการคำนวณ
Relationships Degree
ระดับชั้นของความสัมพันธ์
Unary Relationships
ความสัมพันธ์เอนทิตี้เดียว
Binary Relationships
ความสัมพันธ์สองเอนทิตี้
Ternary Relationships
ความสัมพันธ์สามเอนทิตี้
Connectivity
การระบุความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้
One to One Relationships
ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง
One to Many Relationships
ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม
Many to Many Relationships
ความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม
Super Key
กลุ่มของ Attribute ซึ่งมีค่าแตกต่างกัน
Candidate Key
Subset ที่เล็กที่สุดของ Super Key
Primary Key
Candidate Key ที่ถูกเลือกให้เป็นตัวระบุ
Composite Entity
เอนทิตี้กลาง
Weak Entity
เอนทิตี้ที่ไม่มี Primary Key เป็นของตนเอง
Strong Entity
เอนทิตี้ที่มี Primary Key เป็นของตนเอง

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

กินปลาสัปดาห์ละครั้ง ห่างไกล “อัลไซเมอร์“



ไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่มั้ยสำหรับการป้องกันตัวเองจากโรคอัลไซเมอร์ โดยที่ประชุมประจำปีของสมาคม Radiological Society of North America ออกมาเปิดเผยว่า
การกินปลาอบหรือนึ่งสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ เนื่องจากผลวิจัยพบว่าคนที่มีนิสัยกินปลาสัปดาห์ละครั้ง จะมีปริมาตรของเนื้อสีเทาในสมองมากกว่าคนปกติ ซึ่งส่วนนี้มีหน้าที่รับผิดชอบความจำเป็นและเรียนรู้ แต่ในขณะเดียวกันก็พบว่าปลาทอด ไม่ได้ทำให้เกิดผลใดๆ ต่อสมอง โดย ดร.ไซรัส ราชิ นักวิจัยจาก University of Pittsburgh ชี้ว่าโอเมก้า-3 ในปลาจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปยังสมอง ทำให้เซลสมองได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น และยังลดการอักเสบอันเชื่อกันว่าเป็นบ่อเกิดของอัลไซเมอร์ได้นั่นเอง



วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

เล่นไอแพดก่อนนอนส่งผลให้นอนหลับไม่สนิท



นักวิจัยออกมาเตือนว่า การเล่นไอแพดหรือสมาร์ทโฟนก่อนนอน มีผลโดยตรงต่อการนอน เพราะอาจทำให้นอนหลับไม่สนิท เนื่องจากแสงสีเงินบนหน้าจอไอแพด ไประงับการทำงานของสมอง ทำให้สมองหยุดหลั่งสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการนอนหลับ
หลายต่อหลายคนมักติดนิสัยใช้ไอแพด หรือแท็ปเล็ตในการเช็คอีเมล เล่นเฟซบุ๊ก หรือเล่นอินเทอร์เน็ตก่อนจะปิดไฟนอน ซึ่งนักวิจัยได้ออกมาเตือนว่า พฤติกรรมดังกล่าว อาจทำให้ส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ เนื่องจากแสงสีเงินบนหน้าจอไอแพดนั้น จะทำให้เกิดอาการนอนหลับไม่สนิท เนื่องจากสมองได้จดจำภาพของแสงสีเงิน และปรับการทำงานใหม่ ทำให้ร่างกายคิดไปเองว่า ยังคงเป็นเวลากลางวันอยู่
โดยนักวิจัยระบุว่า แสงสีเงินจะไประงับการทำงานของการผลิตสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการนอนหลับ และเมื่อสมองหยุดผลิตสารดังกล่าว ก็ทำให้การนอนหลับเป็นเรื่องที่ยากขึ้น แต่ในทางกันกันข้าม หากว่าหน้าจอของแท็ปเล็ตใดๆก็ตาม มีสีค่อนไปทางส้มหรือแดง ก็จะไม่กระทบต่อการผลิตสารเมลาโทนินแต่อย่างใด เนื่องจากสมองจะจดจำได้ว่า แสงดังกล่าว คล้ายกับแสงเวลาพลบค่ำ ซึ่งเป็นสัญญาณว่า ใกล้จะสิ้นสุดวันนั้นๆแล้ว
ก่อนหน้านี้ นักประสาทวิทยาเคยศึกษาวิจัยในเรื่องนี้มาแล้วหลายครั้ง พร้อมยืนยันว่า การชมโทรทัศน์ เล่นคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือก่อนนอนนั้น จะกระทบต่อการนอนหลับ และจะทำให้นอนหลับไม่สนิท แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การนำสมาร์ทโฟน ไอแพด หรือแท็ปเล็ตอื่นๆติดตัวเข้าไปในห้องนอนด้วยนั้น กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนทำจนเป็นนิสัย ทำให้นักวิจัยต้องหันมาศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยได้ออกมาเตือนว่า การใช้ไอแพดหรือแท็ปเล็ตต่อเนื่องมากกว่า 2 ชั่วโมงก่อนนอน จะยิ่งทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งวิธีการในการแก้ปัญหานี้ได้ดีที่สุด ก็คือการเลิกเล่น แต่หากว่าไม่สามารถทำได้ ก็ควรจำกัดเวลาการเล่นให้น้อยลง หรือพยายามให้ไอแพดหรือแท็ปเล็ต อยู่ไกลจากสายตามากกว่า 10 นิ้ว เพื่อลดปริมาณแสงสีเงินที่จะกระทบกับดวงตา
พร้อมกันนี้ ทีมนักวิจัยยังได้เสนอไปยังบริษัทผู้ผลิตแท็ปเล็ตทั้งหลายว่า ควรเริ่มต้นคิดค้นวิธีการลดแสงสีเงินที่หน้าจอลง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานในเวลากลางคืน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้ใช้งานนอนหลับสนิทมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการช่วยถนอมสายตาในระยะยาวอีกด้วย
by Sutthiporn

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

เทคนิคเรียนเก่ง ความจำดี


เพิ่มประสิทธิภาพการเรียน
หลักการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนหนังสือ 6 ประการซึ่งมีผู้นำไปปฏิบัติแล้วได้ผลดีมีดังนี้
1. สะสม(Gradual) เรียนอย่างค่อยเป็นค่อยไป สะสมวันละนิดไม่ใช่หักโหมก่อนสอบ
2. ทำซํ้า( Repetition) ทบทวน ท่อง และทำแบบฝึกหัดซํ้า ๆ
3. ย้ำรางวัล(Reinforcement) ควรให้รางวัลตัวเองเมื่อ ทำงานสำเร็จในแต่ละครั้งเพื่อให้ขยันขึ้น
4. ขยันคิด(Active Learning) จงใส่ใจคิดตามเสมออย่าฟังหรืออ่านไปเรื่อย ๆ
5. ฟิตปฏิบัติ(Practice) ต้องลงมือปฏิบัติให้เกิดความชำนาญไม่ใช่รู้แต่ทฤษฏีอย่างเดียว การลงมือปฏิบัติจริงจะทำให้จำแม่นยำเกิดการถ่ายโยงความจำระยะสั้นให้เป็นระยะยาว
6. หาทางบังคับตัวเอง (Stimulus Control) โดยอาศัยการจัดสิ่งแวดล้อมเป็นตัวเร่งและกระตุ้นจากหลักการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียน 6 ประการดังกล่าว ถ้าเราปฏิบัติตนให้ถูกวิธี เราจะประสบผลสำเร็จ มีผู้เสนอข้อปฏิบัติตนที่ดีไว้มากมาย

ต่อไปนี้เป็นข้อปฏิบัติตนที่ได้คัดเลือกให้ท่านลองนำไปปฏิบัติดูเพียง 5 ข้อ
ข้อปฏิบัติตนของการเป็นผู้เรียนที่ดี
1. เวลาฟังอาจารย์สอนหรือเวลาอ่าน ต้องคิดตาม ถาม จด ตลอดเวลา ถ้าไม่เข้าใจควรจดคำถามไว้เพื่อคิดค้นคว้าหรือถามผู้รู้ต่อไป
2. หามุมที่ใช้เป็นที่ดูหนังสือหรือทำการบ้านที่จะทำให้มีประสิทธิภาพ
3. จัดเวลาสำหรับทบทวนสิ่งที่เรียนมา หรืออ่านล่วงหน้าสิ่งที่จะเรียนต่อไป และถ้าปฏิบัติตามที่กำหนดได้ควรให้รางวัลตัวเอง เช่น ได้ขนม ได้เล่น
ได้ฟังเพลง ดูทีวี ได้ออกกำลัง เป็นต้น ถ้าทำไม่ได้ตามกำหนดควรหาเวลาชดเชย
4. ท่องหนังสือกับเพื่อน อย่าหวงวิชา แบ่งปันความรู้อธิบายให้กันและกัน อย่าช่วยเหลือเพื่อนในทางที่ผิด เช่น ทุจริตเวลาสอบ หรือให้ลอกงานโดยไม่เข้าใจ
5. ฝึกศึกษาด้วยตนเอง มิใช่ต้องเรียนจากครูเพียงอย่างเดียว การศึกษาด้วยตนเองต้องใช้สมาธิมาก ต้องทำความเข้าใจจดสาระสำคัญต่าง ๆ
ลงในโน้ตย่อ จดสิ่งที่ไม่เข้าใจไว้ค้นคว้าต่อไปขอให้ท่านลองปฏิบัติตาม 5 ข้อนี้ โปรดสำรวจตัวท่านเองทุกสัปดาห์ว่า ท่านยังขาดข้อใดบ้างพยายามปรับปรุงทำให้ได้ ต้องอดทน แม้ว่าจะเป็นนิสัยเดิมก็ตาม ถ้าท่านทำได้รับรองว่าท่านจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการเรียนคนหนึ่งแน่นอน
หากท่านยังไม่สามารถปฏิบัติตนดังกล่าวได้ ท่านต้องหาสาเหตุอื่น ๆอีกเช่น

ท่านขาดแรงจูงใจในการเรียนหรือไม่
เวลาทำใจไม่จดจ่อ (ขาดสมาธิ) ใช่หรือไม่
อ่านเท่าไรก็ไม่จำ (อ่านไม่เป็น) ใช่หรือไม่
คิดเท่าไรก็ไม่ออก ใช่หรือไม่

ถ้าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับตัวท่านแล้วท่านจะต้องหาทางแก้ไขและฝึกฝนตนเองในจุดที่ท่านบกพร่องเช่นในด้านความจำ เป็นสิ่งสำคัญมากในการเรียนคณิตศาสตร์ เราต้องทำความเข้าใจก่อนแล้วจำ
ทำอย่างไรเราจะจำดี
จากการศึกษาของนักจิตวิทยาเกี่ยวกับการจำการลืมของมนุษย์พบว่า คนเรามีอัตราการจำหรือลืมดังนี้
เมื่อเวลาผ่านไป หนึ่งวัน คนเราจะจำเรื่องราวที่ตนอ่านไปได้ประมาณ 50% และลดลงไปอีกครึ่งหนึ่งทุก ๆ 7 วัน จนในที่สุด จะนึกไม่ออกเลยเมื่อผ่านไป 21 วัน ทางแก้การลืมความรู้ก็คือไปทบทวนทันทีที่เราเรียนในแต่ละ วันเพื่อมิให้เกิน 24 ชั่วโมง จากนั้นเราทิ้งช่วงไปทบทวนรวบยอดในวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ เพื่อมิให้เกิน 7 วัน ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์จะทบทวนสิ่งที่เรียนมาทั้งสัปดาห์
เนื่องจากแต่ละวันความรู้จะพอกพูนขึ้นไปเรื่อย ๆ เราควรทำโน้ตย่อและทบทวนจากโน้ตย่อสาระสำคัญ จะช่วยให้เราเสียเวลาทบทวนน้อยลง
บทความโดย : ผ.ศ.ดร.สมวงษ์ แปลงประสพโชค
ที่มา : ศูนย์พัฒนาสื่อการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ พระนคร

อ่างอาบน้ำกับตำนานลวง


ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 คนทั่วโลกดำเนินชีวิตด้วยความยากลำบาก ข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ล้วนมีแต่เรื่องความหดหู่และความสูญเสีย นักข่าวคนหนึ่งจึงแต่งนิยายเบาๆเกี่ยวกับประวัติของอ่างอาบน้ำลงในคอลัมน์ หากแต่คนส่วนใหญ่กลับเชื่อสนิทใจ นำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้อ้างอิงจวบจนกระทั่งในปัจจุบัน
สำหรับในบ้านเราอ่างอาบน้ำอาจจะไม่ใช่สิ่งจำเป็นเท่าไรนัก แต่ในบ้านอังกฤษและอเมริกามีอ่างน้ำติดตั้งแทบจะทุกหลังคาเรือน ดังนั้น จึงถือได้ว่าอ่างอาบน้ำเป็นของใช้ที่มีความสำคัญมากอย่างหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากช่วงกลางศตวรรษที่ 19 กระทรวงสาธารณสุขอเมริกามีความกังวลเกี่ยวกับสุขอนามัยของประชาชนและการแพร่ระบาดของเชื้อโรค การป้องกันที่ได้ผลดีที่สุดคือการรณรงค์ให้ประชาชนดูแลรักษาความสะอาดตัวเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มชนชั้นล่าง
จากการศึกษาพบว่าการแยกแหล่งเพาะเชื้อโรคออกจากสถานที่อยู่อาศัยเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคได้เป็นอย่างดีดังจะเห็นว่าในปี 1870 การรณรงค์สร้างห้องครัวและห้องน้ำแยกเป็นเอกเทศไม่ปะปนกับห้องอื่นๆภายในอาคารทำให้อัตราการแพร่เชื้อโรคลดน้อยลง
เฮนรี่ หลุยส์ เมน์กเคน (Henry Louis Mencken) ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์นิวยอร์กอีฟนิ่งนิวส์ เล็งเห็นถึงความสำคัญของอ่างอาบน้ำ จึงได้ทำการค้นคว้าสืบสาวประวัติความเป็นมา เรียบเรียงบทความเนื่องในโอกาสวันครบรอบ 75 ปีการติดตั้งอ่างอาบน้ำในทำเนียบขาว บทความนี้ถูกตีพิมพ์เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 1917 โดยให้ชื่อเรื่องว่า A Neglected Anniversary หรือวันครบรอบที่ถูกลืม
ของใช้ชาววัง
เฮนรี่กล่าวว่า วันที่ 20 ธันวาคม เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวอเมริกันหากแต่ไม่มีใครสักคนที่เฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญนี้เพราะมันได้ถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำอย่างสิ้นเชิง เมื่อราว 8 เดือนก่อนกลุ่มแพทย์รุ่นใหม่พยายามจะรื้อฟื้นความสำคัญของวันนี้โดยการติดต่อกระทรวงสาธารณสุข เรียกร้องให้ประกาศเป็นวันสำคัญของชาติ มีการจัดงานเฉลิมฉลองเหมือนวันสำคัญวันอื่นๆ หากแต่ว่ากรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประสบกับภาวะภัยแล้งเสียก่อนแผนการทั้งหมดจึงถูกระงับ
ประวัติอ่างอาบน้ำในอเมริกาเริ่มต้นขึ้นเมื่ออดัม ทอมป์สัน พ่อค้าขายเมล็ดฝ้ายและเมล็ดพันธุ์พืชชาวซินซินเนติ รัฐโอไฮโอ เดินทางไปยังประเทศอังกฤษเมื่อราวทศวรรษที่ 1830 เขาได้สัมผัสกับการใช้ชีวิตของขุนนางชั้นสูง ทำให้มีโอกกาสได้ใช้สิ่งประดิษฐ์ใหม่อย่างเช่นอ่างอาบน้ำ
อ่างอาบน้ำประดิษฐ์โดยลอร์ดจอห์น รัสเซล เมื่อราวปี 1828 มันถูกจำกัดการใช้งานอยู่ในแวดวงราชสำนัก แม้ว่าอ่างอาบน้ำในยุคแรกๆจะมีขนาดเล็กกะทัดรัด แต่มันก็ยังต้องใช้ข้าทาสบริวารจำนวนมากในการเติมน้ำและนำน้ำที่อาบแล้วไปเททิ้ง ลอร์ดจอห์นถึงกับคุยโม้โอ้อวดว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวในประเทศอังกฤษที่สามารถอาบน้ำในอ่างได้ทุกวัน
อดัมเห็นว่าอ่างอาบน้ำของคนอังกฤษนั้นมีขนาดเล็กเกินไป มันคงจะดีไม่ใช่น้อยหากอ่างอาบน้ำมีขนาดใหญ่พอให้คนขนาดผู้ใหญ่ลงไปนอนแช่ในอ่างได้ทั้งตัวและสามารถต่อประปามายังอ่างอาบน้ำได้โดยตรง โดยไม่ต้องใช้แรงงานทาสตักน้ำจากบ่อมาเติมทีละถัง
นวัตกรรมล้ำสมัย
หลังจากกลับจากอังกฤษ อดัมสร้างอ่างอาบน้ำอันแรกของประเทศอเมริกาขึ้นในปี 1842 ติดตั้งในห้องห้องน้ำคฤหาสน์ เมืองซินซินเนติ และแน่นอนว่าในสมัยนั้นยังไม่มีระบบประปา อดัมแก้ปัญหาด้วยการติดตั้งปั๊มสูบน้ำ สูบน้ำจากบ่อในสวนให้ไหลมาตามท่อที่เชื่อมต่อมายังห้องน้ำในตัวคฤหาสน์
แต่สมัยนั้นการเดินเครื่องสูบน้ำก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเช่นกัน มันต้องใช้แรงงานทาสถึง 6 คนในการเดินเครื่องสูบน้ำ น้ำจะถูกสูบขึ้นไปยังถังไม้ที่ติดตั้งอยู่ในห้องใต้หลังคา ด้านล่างของถังน้ำมีท่อ 2 ท่อ คือท่อน้ำเย็นและท่อน้ำร้อน ท่อน้ำร้อนถูกวางผ่านตามปล่องไฟในครัว ภายในท่อมีเส้นลวดโลหะขดเพื่อเก็บกักความร้อน
อ่างน้ำได้รับการออกแบบใหม่โดยเจมส์ คูลเนสส์ ช่างทำตู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยนั้น มันทำด้วยไม้มาฮอกกานีจากนิการากัว ความยาว 7 ฟุต กว้าง 2 ฟุต ด้านในบุด้วยแผ่นตะกั่ว เชื่อมรอยต่อแต่จะจุดแนบสนิทป้องกันน้ำซึมออกจากถัง เนื่องจากมันมีน้ำหนักเกือบ 800 กิโลกรัมจึงต้องเสริมพื้นให้มีความแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักได้
อดัมใช้อ่างอาบน้ำนี้เป็นครั้งแรกเมื่อเวลา 08.00 น. ของวันที่ 20 ธันวาคม 1842 และใช้เป็นครั้งที่สอง อาบน้ำอุ่นในตอนบ่ายของวันเดียวกัน การทำน้ำอุ่นทำโดยการติดเตาในครัวตั้งความร้อนไว้ที่ 40 องศาเซลเซียส
อดัมจัดงานปาร์ตี้ที่บ้านในคืนวันคริสต์มาส เขานำแขกที่มาในงานเข้าชมสิ่งประดิษฐ์ใหม่ รวมถึงพันเอกดัชเนล จากกองทัพฝรั่งเศสที่ตื่นเต้นจนเกือบจะกระโดดลงอ่างทันทีที่เห็น ข่าวได้แพร่สะพัดปากต่อปากออกไปอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับในเวลาต่อมา
เรื่องระดับชาติ
การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนทำให้อ่างอาบน้ำกลายเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง บรรดาผู้ดีมีเงินต่างสั่งต่ออ่างอาบน้ำมาใช้ที่บ้าน ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ถูกคนค่อนแคะว่าเป็นสิ่งของฟุ่มเฟือย มีไว้ใช้เพื่อความสำราญ ขณะเดียวกันสมาคมแพทย์ก็ออกมาให้ความเห็นว่าการใช้อ่างอาบน้ำเสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรค โรคไขข้อ ปอดบวม และโรคที่เกิดจากการหมักหมมสิ่งปฏิกูล
สภาเทศบัญญัติเมืองฟิลาเดลเฟียเสนอร่างกฎหมายห้ามใช้อ่างอาบน้ำระหว่างวันที่ 1พฤศจิกายนถึง 15 มีนาคม แต่ญัตตินี้ถูกตีตกไปด้วยเสียงค้านข้างมากที่ชนะไปเพียง 2 เสียงเท่านั้น และในปีเดียวกัน รัฐเวอร์จิเนียได้ออกกฎหมายเก็บภาษีติดตั้งอ่างอาบน้ำเป็นเงิน 30 ดอลลาร์ต่อปี อีกทั้งยังเรียกเก็บภาษีใช้น้ำจากผู้ติดตั้งอ่างอาบน้ำใน 4 เมืองใหญ่
ปี 1845 เมืองบอสตันออกกฎหมายให้อ่างอาบน้ำเป็นสิ่งผิดกฎหมาย อนุญาตให้ใช้ได้เฉพาะเพื่อบำบัดทางการแพทย์เท่านั้น ซึ่งต่อมากฎหมายฉบับนี้ถูกยกเลิกในปี 1862
อันตรายของอ่างอาบน้ำเป็นที่ถกเถียงกันมากในวงการแพทย์จนกระทั่งสมาคมแพทย์อเมริกันได้จัดสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นที่เมืองบอสตัน เมื่อปี 1849 และผลสรุปออกมาว่าแพทย์ผู้เข้าร่วมสัมมนา 55 เปอร์เซ็นต์ลงความเห็นว่าอ่างอาบน้ำไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ผู้นำประเทศคอนเฟิร์ม
เดือนมีนาคม 1850 ประธานาธิบดีมิลลาร์ด ฟิลล์มอร์ (Millard Fillmore) ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี มีโอกาสเดินทางไปยังคฤหาสน์ของอดัมและได้ทดลองใช้อ่างอาบน้ำจนติดใจ หลังจากนั้นไม่นาน มิลลาร์ดได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีแทนแซคารี เทย์เลอร์ (Zachary Taylor) ที่เสียชีวิตลง
ปี 1851 มิลลาร์ดสั่งให้พลเอกชาร์ล คอนราด (Charles Conrad) รัฐมนตรีกระทรวงสงครามติดตั้งอ่างอาบน้ำในทำเนียบขาว เท่ากับเป็นการยอมรับว่าอ่างอาบน้ำเป็นสิ่งถูกกฎหมายและมีความปลอดภัย ทำให้อ่างอาบน้ำกลายเป็นที่นิยมในหมู่ชาวอเมริกัน
บทความประวัติความเป็นมาของอ่างอาบน้ำในอเมริกาได้ถูกนำไปอ้างอิงหลายต่อหลายครั้ง โดยครั้งล่าสุดเมื่อปี 2004 หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ เขียนบทความเกร็ดสาระน่ารู้โดยอ้างบทความของเฮนรีว่า "พนันกันได้ว่าคุณไม่รู้ว่าประธานาธิบดีมิลลาร์ด ฟิลล์มอร์ เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ติดตั้งอ่างอาบน้ำในทำเนียบขาว"
เดือนพฤษภาคม 1926 เฮนรี่พยายามยุติข่าวโคมลอยที่ตัวเองกุชึ้นมาโดยเขียนบทความรับสารภาพว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นเขาเสกสรรปั้นแต่ง นั่งเทียนเขียนเพื่อความบันเทิง แต่หลายคนได้อ่านแต่เพียงบทความแรกไม่ได้อ่านบทความรับสารภาพ เรื่องราวประวัติอ่างอาบน้ำลวงโลกของชาวอเมริกันจึงยังคงตามหลอกหลอนอยู่ตราบจนกระทั่งในปัจจุบัน

"อันตรายของอ่างอาบน้ำเป็นที่ถกเถียงกันมากในวงการแพทย์
จนกระทั่งสมาคมแพทย์ได้จัดสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้น
แพทย์ 55% ลงความเห็นว่าอ่างอาบน้ำไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ"
ที่มา "การศึกษาวันนี้"
ผู้เขียน : ศิลป์ อิศเรศ silp@watta.co.th

งดเหล้าเท่ากับงดการเสพสิ่งทำลายสติปัญญา



ในช่วงระหว่างนี้ เรายังคงอยู่กับช่วงเข้าพรรษา ตลอด 3 เดือนนี้ มีสิ่งสำคัญหลากหลายที่จะชวนให้ทำดีในพรรษานี้ โดยเฉพาะการงดเหล้าเข้าพรรษาที่ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายกับผู้คนที่ต้องเอาชนะใจตนเอง ชนะใจกับอบายมุขนี้ให้ได้
แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต แห่งเสถียรธรรมสถาน บอกกล่าวไปยังผู้ที่ต้องการและยึดมั่นที่จะทำดีในพรรษานี้ว่า หากยังมีชีวิตอยู่ขณะสุดท้ายของชีวิต อยากให้ลองคิดดูว่าจะอยากอยู่อย่างไร อยากอยู่อย่างตายทั้งเป็นหรืออยู่อย่างสงบเย็นและเป็นสุข หากคิดว่าจะเลือกอยู่อย่างสงบเย็นและเป็นสุข ต้องงดทุกอย่างที่จะทำให้คุณอยู่อย่างตายทั้งเป็น เวลาที่เราพบว่าเราตัดสินใจดีแล้ว กำลังใจจะกลับมา จะเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับหัวใจของคุณได้ และนั่นคือการงดที่ดีที่สุดตลอดชีวิตของคุณ งดเหล้าเท่ากับงดการเสพสิ่งที่ทำลายสติปัญญา งดได้เมื่อไหร่ก็งอกงามได้เมื่อนั้น
อย่างที่ทราบกันดีว่าการงดของมึนเมานั้นนับเป็นหนึ่งในศีลห้าข้อ ที่เหล่าพุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติ ซึ่งในเรื่องนี้แม่ชีศันสนีย์พูดได้อย่างน่าสนใจว่า เรื่องของศีลของ 5 หากไม่สามารถละได้ในข้อนี้ ข้อ 1-4 จะบกพร่องมากที่สุด เวลาที่ทำลายสติปัญญา ก็จะทำผิดศีลข้ออื่นได้ด้วย ก็หวังว่าเวลาที่มีกำลังใจในการบอกกับตัวเองว่าเราทำได้ทันที ก็คือทันที ก็คือการเจริญสติปัญญา หากมีสติปัญญาอารักขาได้เมื่อไหร่ ก็จะไม่กลับไปเสพสิ่งที่ทำลายสติปัญญา เพราะสติปัญญาเป็นดังขุมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่จะทำให้คุณรู้ตื่นและเบิกบาน มาช่วยกันทำให้ชีวิตเบิกบานอยู่ด้วยธรรม แล้วจะพบว่าเราจะไม่กลับไปในสิ่งที่เคยเดินผ่านมาและอยู่อย่างตายทั้งเป็น
"ในบางเรื่องที่เราอาจคิดว่าเราจะผ่านหรือไม่ผ่าน กลับมาหายใจลึกๆ แล้วถามตัวเองว่าขณะที่กายอยู่ที่นี่ใจรู้ตื่นและเบิกบานที่นี่ ไม่มีอะไรที่คุณทำไม่ได้ ทุกอย่างเป็นการเดินทางที่จะทำให้คุณเข้าถึงเป้าหมายได้ อย่าหลงทางเสียก่อน ตัดสินใจสตาร์ทมาดีแล้ว ตั้งสติอีกหน่อยถึงเป้าหมายแน่นอน ถ้าคุณกลับไปดื่มอีก แม้แต่หยดเดียว คุณต้องไปตั้งหลักที่จะต้องสตาร์ทอีกครั้ง อย่างหนักกว่าค่ะ ไหนๆ ก็เดินทางมาแล้ว แม้จะมีมารเข้ามาบ้าง ลองกลับไปที่ลมหายใจแห่งสติ และบอกกลับตัวเองว่าหากไม่มีมาร ปัญญาก็ไม่เกิด มันมาแค่ล่อคุณเท่านั้น เห็นมารมา จ๊ะเอ๋แล้วบ๊ายบายแล้วก้าวต่อไปเลย คุณทำได้ค่ะ"
แม่ชีศันสนีย์ ยังบอกอีกว่า "มีคนหลายคนบอกว่าผู้หญิงมักตกเป็นเหยื่อ แม่บอกกับผู้หญิงด้วยกันว่าเราเป็นมนุษย์ที่แท้ เราไม่ได้เป็นแค่เหยื่อ ตอนนี้ผู้หญิงดูเหมือนเราจะตกเป็นเหยื่อก็จริง ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เราจะกลายเป็นผู้หญิงที่ล่าเหยื่อเสียเอง อันนั้นน่ากลัวมาก ดังนั้นตอนนี้รักษาความเป็นมนุษย์เอาไว้ อย่าทำให้กลายเป็นเหยื่อ แต่เป็นมนุษย์ที่แท้ เมื่อไม่เป็นแค่เหยื่อแล้ว เราก็จะไม่เป็นคนที่ล่าเหยื่อด้วย อยากให้รู้ว่าความงดงามของผู้หญิงไม่ได้อยุ่ที่ความเก่ง แต่อยู่ที่คุณจะอยู่ได้อย่างรอดปลอดภัยจากสติปัญญาของคุณเอง เป็นผู้หญิงที่แท้อย่ามักง่ายและเป็นเหยื่อของการเสพสิ่งที่ทำลายสติปัญญา คุณทำได้"
ไม่ว่าจะเป็นเพศใด วัยใดก็ตาม หากแม้นตั้งมั่นที่จะทำดี ในระยะพรรษานี้ยังมีเวลาเหลืออยู่ที่จะทำได้ หากตั้งสติให้กับตัวเอง และตั้งมั่นกับสิ่งที่ทำ เชื่อได้ว่าปัญญาก็จะเกิดตามมาได้อย่างไม่ยากเย็น

เรื่องโดย : สุนันทา สุขสุมิตร Team content www.thaihealth.or.th

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

ผลวิจัยเผย น้ำอัดลม 1 ขวด = วิ่ง 50 นาที


เล่นเอาสาวๆ ที่กลัวอ้วนไม่กล้าดื่มน้ำอัดลมกันไปเลยล่ะสิ เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ การศึกษาตีพิมพ์ใน American Journal of Public Health เปิดเผยว่า
คนเรามักจะประเมินแคลอรีที่ตัวเองกินเข้าไปผิดพลาด และแทนที่อาหารจะติดฉลากว่ามีแคลอรีเท่าไหร่นั้น ฉลากที่เขียนว่าต้องวิ่งเพื่อเบิร์นพลังงานกี่นาทีจะได้ผลดีมากกว่า โดยนักวิจัยจาก Johns Hopkin's Bloomberg School of Public Health ชี้ ว่า แม้น้ำอัดลมจะมีแคลอรีสูง แต่ก็มีสารอาหารเป็นศูนย์ สำหรับคนหนัก 55 กิโลกรัม อาจต้องใช้เวลาถึง 50 นาทีในการเบิร์นน้ำอัดลม 20 ออนซ์ ส่วนคนหนัก 75 กิโลกรัมก็อาจต้องใช้เวลาถึง 40 นาที...ไม่อยากคิดเลยว่าคนดื่มน้ำอัดลมทั้งวันจะต้องวิ่งกี่ชั่วโมงกว่าจะ เบิร์นหมด

กินไข่ทุกวัน อันตราย หรือปลอดภัย


มีข้อกล่าวถึงไข่ แหล่งโปรตีนราคาถูกไปในทางดีและทางร้ายอยู่ตลอดเวลาอะไรคือข้อเท็จจริง
ไข่เจียวร้อน ๆ กับพริกขี้หนูสด ฟาสต์ฟู้ดคนไทยที่อร่อยสุดยอด หรือไข่ออมเลตแบบอเมริกันเบรกฟาสท์ กินไข่ปลอดภัยหรือทำร้ายหัวใจของเรา
ผู้ที่รักสุขภาพมากมายเริ่มรังเกียจความอร่อยของไข่ เพราะกลัวโคเลสเตอรอลที่มากับไข่แดง บางคนถึงกับแยกกินเฉพาะไข่ขาวปราศจากไข่แดง น่าเสียดาย เรากำลังโยนทิ้งคุณค่าอาหารที่ดีที่สุดในไข่แดงเหมือนกับเรากินข้าวขัดสีสวยงามที่ขัดเอาวิตามินออกไปเสียหมด
ไข่แดงมีโคเลสเตอรอลสูง เป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ร่างกายเราจำเป็นต้องมีโคเลสเตอรอลที่เหมาะสมในกระบวนการเผาผลาญอาหารหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย หากเรากินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลต่ำตลอดเวลา ร่างกายก็ต้องผลิตออกมาเพื่อสร้างความสมดุล
ถ้าคุณมีโคเลสเตอรอลสูงกว่าปกติอยู่แล้ว ไข่แดงก็ควรจะหลีกเลี่ยง แต่ทว่าขอให้ระลึกไว้ด้วยว่า ภาวะโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โคเลสเตอรอลไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่ก่อให้เกิดปัญหา(ส่วนใหญ่เกิดจากความเครียด ไม่ออกกำลังกายหรือกินมากไป)
การเลือกกินเฉพาะไข่ขาวเพราะกลัวโคเลสเตอรอล ทำให้คุณพลาดคุณค่าที่ดีของไข่แดง เพราะในไข่แดงมีสารอาหารมากมายไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี วิตามินเอ โฟเลต
โคลีน และบรรดาเกลือแร่ต่าง ๆ แคลเซี่ยม เหล็ก

กินไข่ไขมันดีเพิ่ม มหาวิทยาลัย North Carolina สหรัฐอเมริกา สนับสนุนให้กินไข่ทุกวันเพราะเป็นแหล่งสารอาหารที่ถูกมากโดยเฉพาะโคลีนที่มีมากในไข่แดง ซึ่งช่วยให้ระบบเซลล์สื่อประสาททำงานได้ดี ช่วยเรื่องความจำ เด็ก ๆ ควรกินสม่ำเสมอเพราะไม่ต้องห่วงเรื่องโคเลสเตอรอล
กินไข่ทำให้โคเลสเตอรอลตัวดี HDL เพิ่มมากขึ้น การมี HDL เพิ่มมากขึ้นทำให้อัตราส่วนโคเลสเตอรอลรวมกับHDL ดีขึ้น สัดส่วนที่ดีหมายถึงเอาโคเลสเตอรอลรวมหารด้วย HDL ค่าที่ดีควรอยู่ที่ 2-3 ในผู้หญิง และ 3-4 ในผู้ชาย
กินไข่ไม่ทำให้อ้วน จากการติดตามศึกษากลุ่มคนที่รับประทานอาหารเช้าเป็นไข่เทียบกับกลุ่มที่ทานซีเรียลและขนมปัง เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่กินไข่เป็นอาหารเช้าจะมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยต่ำกว่าอีกกลุ่ม เป็นเพราะโปรตีนจากไข่ร่างกายจะค่อย ๆ ย่อยเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ไม่เหมือนกับการกินคาร์โบไฮเดรตหรือไขมันที่จะย่อยเร็วกว่า จึงทำให้หิวเร็วกว่าและทานซ้ำมากกว่า
แม้ว่าไข่จะมีโคเลสเตอรอลสูงถึง 200 มิลลิกรัมซึ่งสมาคมโรคหัวใจของอเมริกา (American Heart Association) ได้ให้ข้อกำหนดว่าเราควรกินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ทำการศึกษาว่าการกินไข่มากกว่าวันละฟองไม่ทำให้ความเสี่ยงของโรคหัวใจเพิ่มขึ้น แต่การปฏิเสธไม่กินไข่เลยหรือเลือกกินเฉพาะไข่ขาวไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเพราะร่างกายหากได้โคเลสเตอรอลไม่เพียงพอร่างกายเราก็จะพยายามผลิตออกมาเอง ซึ่งอาจจะมากกว่าการกินเข้าไป
การกินแบบพอดี ไข่วันละฟองหรือสัปดาห์หนึ่ง 3-4 ฟอง ไม่ก่อปัญหาให้มากแต่ที่เป็นปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการได้ไขมันส่วนเกินจากเครื่องเคียงเสียมากกว่า เช่น ไส้กรอกทอดที่อุดมด้วยน้ำมันทั้งนอกและใน ไข่เจียวอมน้ำมัน หรือขนมปังทาเนยจริงหรือเทียม ล้วนเป็นตัวสร้างปัญหาให้มากกว่าตัวไข่เอง
กินไข่ต้มรับรองว่าคุณได้สารอาหารที่ครบคุณค่าและปลอดภัยจากไขมันที่มาจากการปรุง สำหรับผู้ใหญ่ที่มีปัญหาสุขภาพก็ควรระมัดระวัง แต่สำหรับเด็ก ๆ ไข่คืออาหารที่วิเศษที่คุ้มค่าราคาเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับ

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อย่าพลาด! ชม บลูมูน ดวงจันทร์เต็มดวง 31 ส.ค.นี้




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ชวนชม ปรากฏการณ์ดวงจันทร์เต็มดวง "บลูมูน" 31 ส.ค.นี้ เผย 2.72 ปีมี 1 ครั้ง เวลาประมาณ 18.18 น. 

           ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เปิดเผยว่า ในวันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2555 จะเกิดปรากฏการณ์ "บลูมูล" (Blue Moon) หรือ ดวงจันทร์จะเต็มดวงรอบที่สองในเดือนเดียวกัน ซึ่งปกติแล้วปรากฏการณ์ดวงจันทร์เต็มดวง จะเรียกว่า ฟลูมูน (Full Moon) เกิดขึ้นเพียงเดือนละ 1 ครั้งเท่านั้น แต่หากเดือนไหนที่มีดวงจันทร์เต็มดวง 2 ครั้ง จะเรียกครั้งที่สองว่า "บลูมูน" ซึ่งในภาษาอังกฤษมีสำนวนว่า "Once in a blue moon" หมายถึง นาน ๆ จะเห็นสักครั้ง หรือเปรียบได้กับคำว่า "Rarely" ในภาษาอังกฤษ 
           

           ทั้งนี้ ปรากฏการณ์บลูมูน ในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ เราจะได้เห็นดวงจันทร์เต็มดวงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ในเวลาประมาณ 18.18 น. โดยจะเต็มดวงอย่างสมบูรณ์ เวลาประมาณ 20.57 น. และตกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ในเช้าของวันที่ 1 กันยายน 2555 เวลาประมาณ 05.37 น.  

           สำหรับปรากฏการณ์บลูมูน เกิดขึ้นเนื่องจากใน 1 ปี มี 12 เดือน บางเดือนมี 30 วัน บางเดือนมี 31 วัน แต่ว่ารอบของดวงจันทร์มีเพียง 29.53059 วันต่อเดือน และใน 1 ศตวรรษ จะมีทั้งหมด 1,200 เดือน โดยจะเกิดดวงจันทร์เต็มดวงได้ถึง 1236.83 ครั้ง แต่จะเป็นบลูมูนแค่ 36.83 ครั้ง เฉลี่ยแล้วประมาณ 2.72 ปีต่อครั้ง หรือประมาณ 3% ของฟูลมูน จะเป็นบลูมูน แต่ที่พิเศษกว่านั้น คือ จะมีการเกิดบลูมูน ปีละ 2 ครั้ง ในทุก ๆ 19 ปี ซึ่งปีล่าสุดที่เกิดบลูมูน 2 ครั้งซ้อนในหนึ่งปี (Double Blue Moons) ก็คือปี พ.ศ. 2542 และจะเกิดครั้งต่อไปในปี พ.ศ. 2561

สิงคโปร์ ประเทศที่คนอ่านหนังสือปีละ 40-50 เล่มต่อคน



สิงคโปร์ ประเทศเพื่อนบ้านและหนึ่งในสมาชิกประชาคมอาเซียนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่มีสถิติการอ่านค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับไทย โดยมีสถิติการอ่านหนังสือปีละ 40-50 เล่มต่อคน ขณะที่คนไทยยังให้ความสำคัญกับการอ่านน้อยมาก
นอกจากนี้ ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติมากนักเหมือนประเทศอื่น แต่กลับมีฐานะทางเศรษฐกิจดีและประเทศพัฒนาอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญคือ ความมีระเบียบวินัยของคนในประเทศ ซึ่งเป็นผลจากนโยบายหนึ่งในการพัฒนาประชาชนให้มีคุณภาพและพัฒนาสังคมให้น่าอยู่ คือ "นโยบายส่งเสริมการอ่าน"
นางเกียง-โก๊ะไลลิน ผู้อำนวยการโครงการริเริ่มด้านการอ่าน คณะกรรมการห้องสมุดแห่งชาติสิงคโปร์ (Singapore National Library Board) คือ ผู้หนึ่งที่มีส่วนผลักดันและสนับสนุนนโยบายส่งเสริมการอ่านของสิงคโปร์ และในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการทำงานส่งเสริมการอ่านมายาวนานกว่า 35 ปี เธอยังได้นำประสบการณ์มาผลักดันให้เกิดโครงการใหม่ๆ เพื่อปลูกฝังและส่งเสริมนิสัยรักการอ่านให้กับประชาชนในสิงคโปร์มากมาย อีกทั้งส่งเสริมให้มีการอ่านหนังสือทั้ง 4 ภาษา ได้แก่ จีน , อังกฤษ , มาเลเซีย และทมิฬ ซึ่งไม่เพียงแต่เชิญชวนให้คนสิงคโปร์อ่านหนังสือแล้ว ยังส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และมีการแบ่งปันประสบการณ์การอ่านอีกด้วย
นาง เกียง-โก๊ะ ไล ลิน กล่าวว่า รัฐบาลของประเทศสิงคโปร์ ให้ความสำคัญในเรื่องการส่งเสริมการอ่าน โดยมีคณะกรรมการหอสมุดแห่งชาติสิงคโปร์เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำนโยบายส่งเสริมการอ่าน ซึ่งนอกจากห้องสมุด เทคโนโลยีสารสนเทศ และการบริการที่สะดวกแล้ว ต้องไม่ลืมว่าหัวใจหลัก คือ "การสอนให้ประชาชนรักการอ่าน" รู้จักวิธีการเลือกหนังสือ เพื่อส่งเสริมความรู้และการพัฒนาตัวเอง
โครงการส่งเสริมการอ่านของประเทศสิงคโปร์นั้น มีหลากหลาย เน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกเพศทุกวัย อย่างกว้างขวาง โดยมีโครงการที่น่าสนใจและเป็นตัวอย่างที่ดี อาทิ National Kids Read Program เป็นโครงการที่เปิดรับสมัครอาสาสมัครเพื่ออ่านหนังสือ เล่านิทานให้เด็กๆ ในชุมชน , โรงเรียนอนุบาล , ประถม และมัธยมศึกษา โดยเน้นให้เด็กได้มีส่วนร่วม สนุกสนานกับเรื่องเล่า เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษในเรื่องเล่า และได้ข้อคิดดีๆ จากเรื่องเล่าหรือนิทานที่ฟัง เพราะเมื่อเด็กสนุกก็จะทำให้พวกเขาอยากที่จะเปิดหนังสืออ่าน และมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือว่าไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ ซึ่งเด็กๆ ยังได้รับความรู้ใหม่ๆ ที่จะนำไปใช้ในด้านการเรียนและใช้ในชีวิตประจำวันได้
โครงการ 10,000 & More Father Reading เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่ได้รับการตอบรับอย่างดีในสิงคโปร์ เป็นกิจกรรมที่สนับสนุนให้พ่อจากทุกอาชีพอ่านหนังสือให้ลูกฟัง หรืออ่านหนังสือกับลูกๆ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความผูกพันระหว่างพ่อกับลูกผ่านการอ่านหนังสือ กิจกรรมนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2550 มีผู้เข้าร่วมและได้ประโยชน์กว่า 60,000 คน และยังมีกิจกรรมต่อเนื่องคือ "Read a story with my Dad" เป็นการแข่งขันวิจารณ์หนังสือ โดยมีโรงเรียนอนุบาล และศูนย์ดูแลเด็กเข้าร่วม โดยห้องสมุดแห่งชาติจะมีการ์ดแจกให้เด็กๆ จากนั้นให้เด็กๆ นำกลับไปที่บ้านให้พ่ออ่านให้ฟัง เมื่ออ่านเสร็จแล้วก็ส่งการ์ดกลับมาที่ห้องสมุดแห่งชาติ เพื่อเลือกการ์ดและให้รางวัล ผู้ที่ได้รับคัดเลือกก็จะมาที่ห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือและทำกิจกรรมร่วมกัน จากนั้นบรรดาคุณพ่อจะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน และประสบการณ์การอ่านหนังสือให้ลูกๆ ฟัง และจัดทำหนังสือเพื่อเผยแพร่ต่อไป
นาง เกียง-โก๊ะ ไล ลิน กล่าวว่า อีกโครงการที่สำคัญในการส่งเสริมการอ่านของประเทศสิงคโปร์ คือ "Read! Singapore" หรือ โครงการ "มาอ่านหนังสือกันเถอะ!" เป็นโครงการรณรงค์การอ่านทั่วประเทศ เพื่อมุ่งปลูกฝังการรักการอ่านในชุมชนทั่วประเทศ เสริมความผูกผันของคนในชุมชน และจุดประกายจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ให้กับคนสิงคโปร์ ริเริ่มโดยคณะกรรมหอสมุดแห่งชาติสิงคโปร์ โดยทำงานร่วมกับภาครีกว่า 100 แห่ง มีการจัดการอภิปรายและกิจกรรมการอ่านมากกว่า 16,000 ครั้ง กิจกรรมนี้จะมีการจัดขึ้นนาน 12-14 สัปดาห์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมของทุกปี ที่ผ่านมามีผู้ร่วมโครงการแล้วกว่า 160,000 คนภายในปี 2553
"การอ่าน..เป็นนิสัยที่ดีที่สุดในการบ่มเพาะสติปัญญา แม้ในโลกปัจจุบันผู้คนนิยมใช้อินเตอร์เน็ตมากขึ้น แต่ก็ยังมีกลุ่มคนรักการอ่านหนังสือผุดขึ้นมากมายทั่วโลก อย่างโครงการ "หนึ่งเล่มหนึ่งเมือง" ของสหรัฐอเมริกาขณะที่เรามีโครงการ"มาอ่านหนังสือกันเถอะ!สิงคโปร์" ซึ่งโครงการนี้ถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะสามารถดึงกลุ่มเป้าหมายจากหลากหลายอาชีพมาจัดตั้งชมรมการอ่านเฉพาะกลุ่มขึ้น เช่น กลุ่มคนขับรถแท็กซี่ ครู ช่างทำผม เจ้าหน้าที่ดูแลสุขภาพ พนักงานโรงแรมและบริการ กลุ่มผู้สูงอายุ เยาวชน ประชาชนทั่วไป หัวหน้าองค์กรรากหญ้า รวมถึงเจ้าหน้าที่พลเรือน และกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ปัจจุบันมีชมรมการอ่านเฉพาะกลุ่มขึ้นมากกว่า 90 แห่ง
เราดีใจที่เห็นคนทุกกลุ่มหันมาสนใจการอ่าน และพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จก็มีการไปอ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำอีก เพราะประเด็นที่พูดคุยกันมีหลากหลาย น่าสนใจ ทำให้เราสนใจและกลับไปอ่านหนังสือเล่มนั้นเพิ่มเติม ที่สำคัญคือ เราเห็นว่าคนที่มาทำกิจกรรมร่วมกันมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นอกจากจะส่งเสริมการอ่านแล้ว ยังเป็นการสร้างความสามัคคีของคนในชาติ ส่งเสริมความสัมพันธ์ของคนแต่ละกลุ่ม แต่ละชุมชนอีกด้วย " นาง เกียง-โก๊ะ ไล ลิน กล่าว
ผู้อำนวยการโครงการริเริ่มด้านการอ่าน ย้ำว่า การส่งเสริมให้ประชาชนทุกวัยทุกอาชีพหันมาสนใจการอ่านหนังสือ ไม่ใช่แค่การให้ประชาชนมาอ่านหนังสือแล้วจบไป แต่เมื่ออ่านหนังสือเสร็จแล้ว ยังมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่หลากหลายจากหนังสือที่อ่านเรื่องเดียวกัน ทั้งนี้ เพื่อมุ่งพัฒนาให้คนสิงคโปร์มีทักษะการคิดแบบวิพากษ์วิจารณ์ มีความคิดสร้างสรรค์ และกล้าแสดงออก ถือเป็นการสร้างวัฒนธรรมการอ่านขึ้นในชุมชนทั่วประเทศ
จากก้าวเล็กๆ สู่การก้าวย่างที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและมั่นคง ทั้งคุณภาพคนและสังคมที่ดี ตัวอย่างจากประสบการณ์การส่งเสริมการอ่านของประเทศเพื่อนบ้านประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ จะเห็นได้ชัดว่า "เริ่มจากการอ่าน" แต่การจะส่งเสริมให้คนหันมาสนใจการอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้ได้นั้น ต้องอาศัยความรู้และความร่วมมือจากหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล เอกชน และคนในประเทศที่จะช่วยกันขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการอ่านให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพของคน และสังคมให้น่าอยู่ต่อไป

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

น้ำแข็งแห้ง อันตรายข้างตัวที่นึกไม่ถึง!!


น้ำแข็งแห้ง, คาร์บอนไดออกไซด์เหลว, อันตรายจากน้ำแข็งแห้ง, น้ำแข็ง, เย็น
อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้!!
หลายคนคงนึกถึงอะไรเย็นๆ ที่จะช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายลงได้ อย่างห้องที่เปิดแอร์เย็นๆ มีพัดลมสักตัว หรือแม้แต่การซื้อ น้ำแข็ง ตามท้องตลาดมารับประทานเพื่อดับร้อน... บางรายก็มีไอเดียเก๋ไก๋ เอาน้ำแข็งชนิดที่รับประทานไม่ได้อย่าง น้ำแข็งแห้ง มาใช้คลายร้อนซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ!! ...แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการทำแบบนี้ก็มีโทษอย่างที่เราเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน...
น้ำแข็งแห้ง แต่ก่อนใช้กันในเฉพาะวงการอุตสาหกรรม เป็นวัตถุดิบสำหรับทำฝนเทียม ทำน้ำยาดังเพลิงเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันมีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นงานใหญ่โตต่างๆ ในคอนเสิร์ตเองก็ใช้เพื่อสร้างควันหรือหมอกจำลอง แม้แต่งานแต่งงานก็มีการใช้น้ำแข็งแห้งมาประดับภายในงานเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและเย็นสบาย ...ส่วนที่เห็นได้ใกล้ตัวเราอย่างการบรรจุใส่รถขายไอศกรีม เพื่อไม่ให้ไอศกรีมละลาย ....ที่นำมาใช้แบบนี้เป็นเพราะน้ำแข็งแห้งมีอุณหภูมิเย็นจัดถึงลบ 80 องศาเซลเซียส ขณะที่น้ำแข็งธรรมดาทั่วไปมีอุณหภูมิราว 0 องศา โดยมีความเย็นมากกว่าน้ำแข็งธรรมดาทั่วไป 2 หรือ 3 เท่า จึงนิยมนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหารประเภทไอศกรีม นม เบเกอรี่ ไส้กรอก และเนื้อสัตว์ เพื่อถนอมอาหารในขั้นตอนการผลิตหรือในการขนส่ง หรือใช้เก็บอาหารสำหรับเสิร์ฟบนเครื่องบิน และอาจใช้ผสมในเครื่องดื่มเพื่อให้เกิดฟองปุดๆ ทำให้เครื่องดื่มนั้นดูน่าสนใจขึ้น
แต่หากนำมาใช้กันอย่างถูกวิธี น้ำแข็งแห้ง ก็ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่หากใช้ผิดวิธีแล้วล่ะก็!! อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เช่นกัน เพราะ น้ำแข็งแห้งหรือดรายไอซ์นั้นแท้จริงแล้ว มันก็คือคาร์บอนไดออกไซด์ในสถานะของแข็ง หรือชื่ออย่างเป็นทางการของมันก็คือ คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง นั่นเอง ขั้นตอนในการผลิตก็ค่อนข้างซับซ้อน นั่นคือต้องนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาผ่านการอัดและลดอุณหภูมิลงภายใต้ความดันสูง จนได้ออกมาเป็นคาร์บอนไดออกไซด์เหลวจากนั้นก็ต้องทำการลดความดันลงอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปแล้วจะใช้วิธีการพ่นคาร์บอนไดออกไซด์เหลวออกไปสู่ความดันบรรยากาศ จึงจะได้ คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง หรือ น้ำแข็งแห้งออกมาเป็นรูปร่างต่างๆ แต่น้ำแข็งแห้งจะไม่หลอมละลายกลายเป็นน้ำเหมือนน้ำแข็งทั่วไป แต่จะระเหิดและกลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แทน
น้ำแข็งแห้ง, คาร์บอนไดออกไซด์เหลว, อันตรายจากน้ำแข็งแห้ง, น้ำแข็ง, เย็น
เพราะความเย็นจัดของไอ้เจ้าน้ำแข็งแห้งนี่เอง...ที่ทำให้เราอาจได้รับบาดเจ็บ หากสัมผัสมันด้วยมือเปล่า เพราะอาจทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า frost bite หรือผิวหนังไหม้จากอุณหภูมิเย็นจัด ซึ่งอาการจะปวดแสบ ปวดร้อนยิ่งกว่าการถูกไหม้จากน้ำร้อนลวกเสียอีก ดังนั้น เวลาจำเป็นต้องสัมผัสน้ำแข็งแห้ง จึงควรใช้ถุงมือหรือกระดาษมารองไว้อีกหนึ่งชั้นก็พอจะช่วยลดอันตรายลงได้บ้าง หากในกรณีที่ถูกน้ำแข็งกัด ก็ให้ล้างมือโดยเร็ว ด้วยน้ำสะอาดในปริมาณมากและไปพบแพทย์ทันที
แต่อันตรายที่ยิ่งกว่าของน้ำแข็งแห้ง ก็คือ ต้องไม่ลืมว่า ทั้งก้อนน้ำแข็งแห้งนั้น มันคือ คาร์บอนไดออกไซด์เพียวๆ ซึ่งจัดว่าเป็นก๊าซอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจของเรา หากต้องเล่นกับน้ำแข็งแห้งที่มีการระเหิดมากๆ จึงควรอยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หรืออยู่กลางแจ้งเท่านั้น นอกจากนี้ การเก็บน้ำแข็งแห้งจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ห้ามจัดเก็บน้ำแข็งแห้งปริมาณมาก ๆ ในห้องแคบหรือห้องที่มีเพดานต่ำ หรือที่มีระบบระบายอากาศไม่ดีพอ เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะระเหิดออกมาแทนที่ก๊าซออกซิเจน อาจทำให้ขาดอากาศหายใจเสียชีวิตได้ อีกทั้ง ไม่ควรเก็บน้ำแข็งแห้งไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท เพราะคาร์บอนไดออกไซด์ที่ระเหิดออกมา อาจรวมตัวและเกิดระเบิดขึ้นได้ ที่สำคัญ!! ไม่ควรที่จะมาเก็บน้ำแข็งแห้งไว้ในตู้เย็นโดยเด็ดขาด เพราะอุณหภูมิของน้ำแข็งแห้งนั้น ต่ำกว่าอุณหภูมิของตู้เย็น ซึ่งอาจทำให้ตู้เย็นไม่ทำงาน
น้ำแข็งแห้ง, คาร์บอนไดออกไซด์เหลว, อันตรายจากน้ำแข็งแห้ง, น้ำแข็ง, เย็น
และหากจำเป็นต้องนำน้ำแข็งแห้งไปใช้ประกอบการแสดงคอนเสิร์ต ควรจัดระบบระบายอากาศด้านล่างให้เหมาะสม เพราะหากระบบระบายอากาศถ่ายเทไม่ดี ก็อาจจะเกิดปัญหาได้เช่นกัน เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะมีน้ำหนักมากกว่าอากาศทั่วไป ทำให้ก๊าซดังกล่าวลอยในระดับต่ำ ซึ่งนั้นก็หมายความว่าก๊าซจะลอกอยู่ในระดับผู้ชมด้านล่างนั่นเอง อาจส่งผลต่อระบบหายใจได้ และที่สำคัญที่สุดห้ามบริโภคน้ำแข็งแห้งโดยตรง หรือแม้กระทั่งน้ำที่ถูกแช่ด้วยน้ำแข็งแห้งโดยเด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนได้ชื่อว่าเป็นคาร์บอนไดออกไซด์นั่นเอง และจำต้องเก็บให้พ้นมือเด็กด้วย
เห็นแล้วหรือยังครับว่าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรา หากใช้ให้ถูกวิธี ประโยชน์นับไม่ถ้วน แต่หากผิดวิธีกลับมีอันตรายถึงชีวิตได้... น้ำแข็งแห้งคืออะไร? น้ำแข็งแห้งเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่แข็งตัว ซึ่งได้ผ่านกรรมวิธีการผลิตทางเคมีแล้ว กรรมวิธีการผลิตก็คือการทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เย็นโดยใช้ความกดดัน ในขั้นแรกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะกลายเป็นของเหลว แล้วใช้ท่อเป่าของเหลวนี้อีกจนกลายเป็นของแข็งไปในที่สุด น้ำแข็งแห้งจะมีความเย็นจัดมาก มีอุณหภูมิถึง -80 องศาเซลเซียส การที่น้ำแข็งแห้งมีอุณหภูมิเย็นจัดเช่นนี้เอง จึงเป็นอันตรายต่อเรามาก หากเราเผลอรับประทานเข้าไปอาจถึงตายได้ หรือแม้กระทั่งถูกผิวหนังของเรา ก็ทำให้ผิวหนังเราไหม้ได้ แต่เราใช้ประโยชน์จากน้ำแข็งแห้งโดยการแช่เย็นผัก หรือสินค้าอื่นๆ ที่เราต้องการขนส่งในระยะทางที่ไกลๆ ได้ เช่น ขนไปต่างประเทศ เป็นต้น หรือใช้น้ำแข็งแห้งในการวิจัยทางการแพทย์ เพื่อแช่สายเคมีบางอย่างซึ่งนิยมใช้มากในทางการแพทย์ ส่วนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ข้อมูลจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติระบุว่า... ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการแยกก๊าซ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น เป็นน้ำแข็งแห้งสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมถนอมอาหาร เป็นวัตถุดิบสำหรับในการทำฝนเทียม น้ำยาดังเพลิง สร้างควันหรือหมอกจำลอง ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม เป็นต้น
เรื่องโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th